เที่ยวอิตาลี อัพเดท 2025 กับ 30 ที่เที่ยวครบทุกสไตล์ในฝัน

เที่ยวอิตาลี

อิตาลี ประเทศในฝันของนักเดินทางทั่วโลก ที่เต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติที่งดงาม ไม่ว่าคุณจะเป็นสายชอบชมสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ เดินเล่นในเมืองสุดโรแมนติก หรือชอบดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติ การมาเที่ยวอิตาลีมีทุกสิ่งที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกสไตล์

ในปี 2025 นี้ อิตาลีเปิดประตูต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงมนต์เสน่ห์ และมีแหล่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น ด้วยการอัปเดตข้อมูลล่าสุด เราได้คัดสรร 30 สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด ในอิตาลี ครอบคลุมทุกแนว ไม่ว่าจะเป็น เมืองคลาสสิกอย่างโรม เวนิส ฟลอเรนซ์, หมู่บ้านริมทะเลสุดมหัศจรรย์อย่าง Cinque Terre, เกาะสวยอย่าง Capri, หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวลับที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก

บทความนี้ทาง gotogethertravel บริษัทนำเที่ยวชั้นนำ จะพาคุณไปสัมผัสอิตาลีแบบ เจาะลึกทุกมุมมอง เพื่อให้การเดินทางของคุณในปี 2025 เป็นประสบการณ์ที่ สมบูรณ์แบบและน่าจดจำสำหรับใครไปต้องการไปเที่ยวนั่นเอง

สนใจเลือกเที่ยวรัสเซียไปกับ GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยว

ทัวร์อิตาลี

Line: @GoTogetherTravel   โทร: 02-214-6088 , 081-405-9726

เมืองหลวงและแหล่งมรดกโลกในอิตาลี

1. โคลอสเซียม (Colosseum) – สนามกีฬาสมัยโรมันที่ยิ่งใหญ่

โคลอสเซียม (Colosseum)
โคลอสเซียม (Colosseum)

โคลอสเซียม (Colosseum, Colosseo หรือ Flavian Amphitheater) เป็นหนึ่งใน สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ (New 7 Wonders of the World) และเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรม ประเทศอิตาลี สนามกีฬาแห่งนี้เป็น อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ที่สุดที่จักรวรรดิโรมันเคยสร้างขึ้น ใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน กลาดิเอเตอร์ (Gladiator Games) และการแสดงสาธารณะอื่น ๆ

แม้จะผ่านมากว่า 2,000 ปี และได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสงคราม โคลอสเซียมยังคงยืนหยัดและเป็น แหล่งท่องเที่ยวอิตาลีสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

2. น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) – จุดขอพรสุดโรแมนติกแห่งกรุงโรม

น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain)
น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain)

น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain, Fontana di Trevi) เป็นน้ำพุที่ใหญ่และโด่งดังที่สุดในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในน้ำพุที่สวยที่สุดในโลก และเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอิตาลี

น้ำพุแห่งนี้มีชื่อเสียงจาก ความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบบาโรก และ ตำนานการโยนเหรียญขอพร ที่เชื่อกันว่า หากโยนเหรียญลงไปในน้ำพุ จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง

3. มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica) – โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica)
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica)

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica, Basilica di San Pietro in Vaticano) เป็นหนึ่งใน ศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของคริสต์ศาสนา ตั้งอยู่ใน นครรัฐวาติกัน ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี มหาวิหารแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่ตั้งของ หลุมศพของนักบุญเปโตร (St. Peter) ซึ่งเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของคริสต์ศาสนา

นอกจากจะเป็น ศูนย์กลางของคริสตจักรโรมันคาทอลิก แล้ว มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ยังเป็น ผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรม ที่ออกแบบโดย ศิลปินเอกของยุคเรอเนซองส์ เช่น มีเกลันเจโล (Michelangelo) และ จิอันโลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini)

4. นครวาติกัน (Vatican City) – ประเทศที่เล็กที่สุดแต่เต็มไปด้วยศิลปะและประวัติศาสตร์

นครวาติกัน (Vatican City)
นครวาติกัน (Vatican City)

นครวาติกัน (Vatican City, Città del Vaticano, Stato della Città del Vaticano) เป็น ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศาสนาคริสต์และประวัติศาสตร์โลก ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี นครวาติกันเป็นที่ประทับของ พระสันตะปาปา (Pope) และเป็นศูนย์กลางของ คริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church)

นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางศาสนาแล้ว วาติกันยังเป็นที่ตั้งของ สถาปัตยกรรมและศิลปะอันล้ำค่า เช่น มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica), โบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) และ พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums) ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมผลงานศิลปะที่สำคัญที่สุดในโลก

เมืองโบราณและศิลปะแห่งยุคเรอเนซองส์

5. ฟลอเรนซ์ (Florence) – เมืองแห่งศิลปะและพิพิธภัณฑ์ระดับโลก

ฟลอเรนซ์ (Florence)
ฟลอเรนซ์ (Florence)

ฟลอเรนซ์ (Florence หรือ Firenze ในภาษาอิตาลี) เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสกานี (Tuscany) ประเทศอิตาลี และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอิทธิพลทาง ศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม มากที่สุดในโลก ฟลอเรนซ์เป็นที่รู้จักในฐานะ ศูนย์กลางของยุคเรอเนซองส์ (Renaissance) ซึ่งเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการของยุโรปในศตวรรษที่ 14-17

เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของ ศิลปินเอกระดับโลก เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี, มีเกลันเจโล, ราฟาเอล และบอตติเชลลี อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับโลก เช่น Galleria degli Uffizi และ Galleria dell’Accademia

6. หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) – สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง

หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)
หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)

หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa หรือ Torre Pendente di Pisa) เป็นหนึ่งใน สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศอิตาลี หอคอยแห่งนี้เป็น หอระฆังของมหาวิหารปิซา (Pisa Cathedral) ซึ่งตั้งอยู่ใน จัตุรัสกัมโป เดย์ มีราโกลี (Campo dei Miracoli) หรือ จัตุรัสแห่งปาฏิหาริย์ (Piazza dei Miracoli)

หอเอนปิซาได้รับชื่อเสียงระดับโลกเนื่องจาก การเอียงของโครงสร้าง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อสร้าง แต่แม้จะเอนมากขึ้นเรื่อย ๆ หอคอยแห่งนี้ยังคง ยืนหยัดมากว่า 800 ปี และกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

7. ปอมเปอี (Pompeii) – เมืองโบราณที่ถูกภูเขาไฟฝังทั้งเมือง

ปอมเปอี (Pompeii)
ปอมเปอี (Pompeii)

ปอมเปอี (Pompeii) เป็น เมืองโบราณของจักรวรรดิโรมัน ที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมาก่อนจะถูกทำลายลงในชั่วข้ามคืนจาก การปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ในปี ค.ศ. 79 เมืองทั้งเมืองถูก เถ้าถ่านภูเขาไฟและลาวาฝังกลบ จนสูญหายไปนานกว่าพันปี ก่อนจะถูกค้นพบอีกครั้งในศตวรรษที่ 18

ปัจจุบัน ปอมเปอีเป็น แหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีเชิงประวัติศาสตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี

8. ซิเอนา (Siena) – เมืองยุคกลางที่ยังคงมีชีวิต

ซิเอนา (Siena)
ซิเอนา (Siena)

ซิเอนา (Siena) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใน แคว้นทัสกานี (Tuscany), อิตาลี และได้รับการยกย่องให้เป็น เมืองมรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ด้วยความงดงามของ สถาปัตยกรรมยุคกลางที่ยังคงสมบูรณ์ ซิเอนาเป็นที่รู้จักจาก จัตุรัสกลางเมืองที่เป็นเอกลักษณ์, มหาวิหารอันวิจิตร และเทศกาลแข่งม้า Palio di Siena

เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลาง การค้าและวัฒนธรรมยุคกลาง แข่งขันกับฟลอเรนซ์เพื่อเป็นเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแคว้นทัสกานี และปัจจุบันยังคง กลิ่นอายของยุคกลาง อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางไม่ควรพลาด

เมืองและหมู่บ้านสุดโรแมนติก

9. เวนิส (Venice) – เมืองแห่งสายน้ำสุดโรแมนติก

เวนิส (Venice)
เวนิส (Venice)

เวนิส (Venice หรือ Venezia ในภาษาอิตาลี) คือหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกและมีเอกลักษณ์ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี และได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งสายน้ำ” หรือ “ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก” ด้วยโครงสร้างเมืองที่ถูกสร้างขึ้นบน เกาะกว่า 118 เกาะ เชื่อมต่อกันด้วย สะพานกว่า 400 แห่ง และมี คลองแกรนด์คาแนล (Grand Canal) เป็นเส้นเลือดหลักของเมือง

เวนิสเต็มไปด้วย สถาปัตยกรรมอันงดงาม ศิลปะที่ทรงคุณค่า และบรรยากาศที่เหมือนหลุดเข้าไปในเทพนิยาย ตั้งแต่การนั่ง กอนโดลา (Gondola) ล่องผ่านคลองสายเล็ก ๆ ไปจนถึงการเดินเล่นบน จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Marco) เวนิสคือปลายทางที่ใครหลายคนใฝ่ฝันที่จะมาเยือนสักครั้งในชีวิต

เวนิสได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีนักท่องเที่ยวอิตาลีมาเยือนมากที่สุดในอิตาลี

10. แวร์นา (Verona) – เมืองแห่งโรมิโอและจูเลียต

แวร์นา (Verona)
แวร์นา (Verona)

แวร์นา (Verona) เป็นเมืองที่เต็มไปด้วย เสน่ห์ของยุคกลางและความโรแมนติก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี ในแคว้นเวเนโต (Veneto) เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งโรมิโอและจูเลียต” เนื่องจากเป็นฉากหลังของ โศกนาฏกรรมความรักอมตะของเชกสเปียร์ (Shakespeare’s Romeo & Juliet)

แวร์นาไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องราวของความรักเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO เนื่องจาก สถาปัตยกรรมโรมันที่งดงาม โคลอสเซียมแห่งแวร์นา (Verona Arena) และถนนโบราณที่ยังคงมีชีวิต เมืองนี้เต็มไปด้วย จัตุรัสเก่าแก่ คาเฟ่บรรยากาศดี และวิวแม่น้ำอาดิเจ (Adige River) ที่ไหลผ่านใจกลางเมือง

ทุกปี แวร์นาจะจัด เทศกาลโอเปร่า Verona Opera Festival ภายใน Verona Arena ซึ่งเป็นโรงละครกลางแจ้งสไตล์โรมันที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอิตาลี

11. โพซิตาโน (Positano) – หมู่บ้านสีพาสเทลริมทะเล

โพซิตาโน (Positano)
โพซิตาโน (Positano)

โพซิตาโน (Positano) คือหนึ่งในหมู่บ้านที่ สวยและโรแมนติกที่สุด บนชายฝั่ง อะมัลฟีโคสต์ (Amalfi Coast) ทางตอนใต้ของอิตาลี ที่นี่มีชื่อเสียงจาก บ้านเรือนสีพาสเทลที่เรียงตัวลดหลั่นไปตามหน้าผา พร้อมวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ตัดกับท้องฟ้าสีครามอย่างลงตัว

โพซิตาโนเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ก่อนจะกลายเป็น จุดหมายปลายทางสุดหรูของนักเดินทางจากทั่วโลก ด้วย หาดทรายสีทอง น้ำทะเลใสราวคริสตัล ถนนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยร้านค้าแฟชั่นสไตล์อิตาเลียน และร้านอาหารซีฟู้ดริมทะเล

โพซิตาโนได้รับฉายาว่า “อัญมณีแห่งอะมัลฟีโคสต์” และยังเป็นสถานที่ที่ถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมและภาพยนตร์โรแมนติกหลายเรื่อง

12. ซิงเคว เทอเร (Cinque Terre) – หมู่บ้านหลากสีริมหน้าผา

ซิงเคว เทอเร (Cinque Terre)
ซิงเคว เทอเร (Cinque Terre)

ซิงเคว เทอเร (Cinque Terre) เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่งดงามและมีเอกลักษณ์ที่สุดของอิตาลี หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บน ชายฝั่งริเวียร่าอิตาเลียน (Italian Riviera) ในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) โดยชื่อ “Cinque Terre” แปลว่า “ห้าดินแดน” ซึ่งหมายถึง 5 หมู่บ้านริมหน้าผา ได้แก่ Monterosso al Mare, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore

หมู่บ้านแต่ละแห่งเต็มไปด้วย บ้านเรือนสีสันสดใส ไร่องุ่นขั้นบันได เส้นทางเดินเขาที่สวยงาม และวิวทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่น่าทึ่ง ด้วยเสน่ห์ของเมืองเก่าที่ยังคงรักษาความดั้งเดิม ซิงเคว เทอเรจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO

ซิงเคว เทอเรไม่มีถนนใหญ่เชื่อมต่อกัน หมู่บ้านแต่ละแห่งสามารถเข้าถึงได้โดย รถไฟ เรือ หรือเส้นทางเดินเขาที่มีวิวอันน่าทึ่ง

ธรรมชาติและเทือกเขาในอิตาลี

13. เทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites) – สวรรค์ของนักเดินเขาและสกี

เทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites)
เทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites)

เทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites) เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่งดงามที่สุดของอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ครอบคลุมแคว้น Trentino-Alto Adige, Veneto และ Friuli Venezia Giulia โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO

ด้วย ภูมิทัศน์ที่โดดเด่นของยอดเขาหินปูนสูงตระหง่าน ทะเลสาบสีมรกต และทุ่งหญ้าอัลไพน์อันกว้างใหญ่ ทำให้โดโลไมท์เป็น จุดหมายในฝันของนักเดินเขา (Hiking), นักปีนเขา (Climbing) และนักสกี (Skiing) ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาว ที่นี่ก็มอบประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับคนรักธรรมชาติและการผจญภัย

จุดชมวิวที่โด่งดังของโดโลไมท์ ได้แก่ Tre Cime di Lavaredo, Seceda, Alpe di Siusi และ Lago di Braies ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายภาพที่สวยที่สุดในยุโรป

14. ทะเลสาบโคโม (Lake Como) – ทะเลสาบสุดหรูท่ามกลางขุนเขา

ทะเลสาบโคโม (Lake Como)
ทะเลสาบโคโม (Lake Como)

ทะเลสาบโคโม (Lake Como) เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่โรแมนติกและมีเสน่ห์ที่สุดของอิตาลี ตั้งอยู่ในเขตแคว้นลอมแบร์เด (Lombardy) ของภาคเหนือ ประเทศอิตาลี ทะเลสาบแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่อง วิวธรรมชาติที่งดงาม โดยมีขุนเขาล้อมรอบให้บรรยากาศที่สงบและหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นการล่องเรือชมวิวจากผืนน้ำใสหรือการเดินเล่นริมทะเลสาบในยามเย็นที่แสงสีทองสะท้อนกับผืนน้ำ

ทะเลสาบโคโมเป็นที่รู้จักในฐานะ แหล่งพักผ่อนสุดหรูของคนดังและนักท่องเที่ยว ด้วยบ้านเรือนและวิลล่าสไตล์คลาสสิกที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ พร้อมทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ระดับโลกที่ให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ

ทะเลสาบโคโมมีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร “Y” โดยมีสายน้ำหลักแยกออกเป็นสาขาเล็ก ๆ ทำให้วิวของทะเลสาบมีความหลากหลายและงดงามในทุกมุมมอง

15. ทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda) – จุดหมายปลายทางสำหรับกิจกรรมทางน้ำ

ทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda)
ทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda)

ทะเลสาบการ์ดา (Lake Garda) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ครอบคลุม 3 แคว้น ได้แก่ ลอมบาร์ดี (Lombardy), เวเนโต (Veneto) และเทรนติโน-อัลโต อาดิเจ (Trentino-Alto Adige) ด้วยน้ำทะเลใสราวคริสตัลที่โอบล้อมด้วยภูเขาสูงและหมู่บ้านสุดน่ารักริมฝั่ง ทำให้ที่นี่เป็น จุดหมายยอดนิยมสำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งและการผ่อนคลาย

ทะเลสาบการ์ดาเป็นที่รู้จักในฐานะ สวรรค์ของกีฬาทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น การแล่นเรือใบ วินด์เซิร์ฟ พายเรือคายัค และว่ายน้ำ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ปั่นจักรยานเสือภูเขา ปีนเขา และเดินป่า ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม

เมืองรอบทะเลสาบที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Sirmione, Malcesine และ Riva del Garda ซึ่งมีทั้งปราสาทเก่าแก่ น้ำพุร้อน และวิวทะเลสาบที่สวยงาม

16. วัล ดอร์เซีย (Val d’Orcia) – ทุ่งหญ้าที่สวยราวกับภาพวาด

วัล ดอร์เซีย (Val d'Orcia)
วัล ดอร์เซีย (Val d’Orcia)

วัล ดอร์เซีย (Val d’Orcia) เป็นดินแดนแห่ง ทุ่งหญ้าเนินเขาสีทอง ไร่องุ่น และต้นไซเปรสเรียงราย ตั้งอยู่ในแคว้น ทัสกานี (Tuscany) ทางตอนกลางของอิตาลี ที่นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในภูมิประเทศที่สวยที่สุดในโลก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO เนื่องจาก ทัศนียภาพที่งดงามราวกับภาพวาดยุคเรอเนซองส์

ภูมิภาคนี้เป็นที่ตั้งของ หมู่บ้านเก่าแก่และเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ เช่น Pienza, Montalcino และ San Quirico d’Orcia ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุคกลาง ร้านอาหารท้องถิ่น และไวน์ระดับโลก เช่น Brunello di Montalcino ที่มีชื่อเสียง

วัล ดอร์เซียเป็นฉากสำคัญในภาพยนตร์ชื่อดัง “Gladiator” โดยฉากทุ่งหญ้าที่ตัวเอกเดินผ่านไปยังบ้านของเขา ถูกถ่ายทำที่นี่

เกาะและชายหาดที่สวยที่สุด

17. คาปรี (Capri) – เกาะหรูหราแห่งทะเล Tyrrhenian

คาปรี (Capri)
คาปรี (Capri)

คาปรี (Capri) คือเกาะสุดหรูที่ตั้งอยู่กลางทะเล Tyrrhenian ทางตอนใต้ของอิตาลี ใกล้กับอ่าวเนเปิลส์ (Bay of Naples) เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะ สถานที่พักผ่อนระดับไฮเอนด์ของเหล่าเซเลบริตี้และนักเดินทางจากทั่วโลก ด้วยความงดงามของ หน้าผาหินปูน ทะเลสีฟ้าใส และหมู่บ้านสุดคลาสสิก ทำให้คาปรีเป็นจุดหมายที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และบรรยากาศอันโรแมนติก

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเกาะนี้คือ “บลูกร็อตโต (Blue Grotto)” ถ้ำทะเลที่มีน้ำสีฟ้าเรืองแสงราวกับเวทมนตร์ รวมถึง วิวพาโนรามาจาก Monte Solaro ถนนช้อปปิ้งสุดหรูที่ Via Camerelle และอาหารทะเลสด ๆ ที่ร้านอาหารริมทะเล

คาปรีเคยเป็น สถานที่พักผ่อนของจักรพรรดิโรมันอย่างออกุสตุสและทิเบริอุส และปัจจุบันยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวอิตาลีสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความหรูหราและความงดงามของธรรมชาติ

18. ซาร์ดิเนีย (Sardinia) – เกาะสวรรค์ที่เต็มไปด้วยชายหาดน้ำใส

ซาร์ดิเนีย (Sardinia)
ซาร์ดิเนีย (Sardinia)

ซาร์ดิเนีย (Sardinia หรือ Sardegna ในภาษาอิตาลี) เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอิตาลี รองจากซิซิลี และขึ้นชื่อว่าเป็น หนึ่งในเกาะที่มีชายหาดสวยที่สุดในยุโรป ด้วย น้ำทะเลสีฟ้าใสราวคริสตัล หาดทรายขาวบริสุทธิ์ และธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ เกาะแห่งนี้จึงเป็น สวรรค์สำหรับคนรักทะเล กีฬาทางน้ำ และการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ

ซาร์ดิเนียยังเต็มไปด้วย วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์โบราณ เช่น Nuraghe ป้อมหินลึกลับจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ รวมถึงอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย เช่น ชีพชีพ Pecorino Sardo และหมูย่าง Porceddu นอกจากนี้ ยังมีรีสอร์ตหรูระดับโลกที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอิตาลีที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแห่งความหรูหราและเป็นส่วนตัว

Costa Smeralda หรือ “ชายฝั่งมรกต” เป็นโซนที่หรูหราที่สุดของซาร์ดิเนีย และเป็นสถานที่ตากอากาศของคนดังจากทั่วโลก

19. ซิซิลี (Sicily) – เกาะที่มีทั้งชายหาดและภูเขาไฟ

ซิซิลี (Sicily)
ซิซิลี (Sicily)

ซิซิลี (Sicily หรือ Sicilia ในภาษาอิตาลี) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเต็มไปด้วย ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติอันหลากหลาย เกาะแห่งนี้มี ชายหาดสวยงาม น้ำทะเลใส และหมู่บ้านชายฝั่งสุดคลาสสิก ควบคู่ไปกับ ภูเขาไฟเอตนา (Mount Etna) ซึ่งเป็น ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและสูงที่สุดในยุโรป

ซิซิลีเป็นแหล่งรวมมรดกจากอารยธรรมกรีก โรมัน นอร์มัน และอาหรับ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วย วัดกรีกโบราณ วิหารอันวิจิตร และเมืองเก่าแก่ที่มีเสน่ห์ เช่น ปาแลร์โม (Palermo), กาตาเนีย (Catania) และทาโอร์มินา (Taormina)

ซิซิลีเป็นบ้านเกิดของอาหารอิตาเลียนขึ้นชื่อ เช่น Arancini (ข้าวปั้นทอด), Cannoli (ขนมหวานไส้ครีมริคอตต้า) และ Pasta alla Norma

20. ลา มาเดเลนา (La Maddalena) – หมู่เกาะที่เงียบสงบในซาร์ดิเนีย

ลา มาเดเลนา (La Maddalena)
ลา มาเดเลนา (La Maddalena)

ลา มาเดเลนา (La Maddalena) เป็นหมู่เกาะที่ซ่อนตัวอยู่ทางตอนเหนือของเกาะซาร์ดิเนีย (Sardinia) ประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วย เกาะเล็ก ๆ กว่า 60 เกาะ และขึ้นชื่อเรื่อง หาดทรายขาว น้ำทะเลสีฟ้าใสราวคริสตัล และบรรยากาศอันเงียบสงบ หมู่เกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลา มาเดเลนา (Parco Nazionale dell’Arcipelago di La Maddalena) ทำให้ยังคงความเป็นธรรมชาติไว้อย่างสมบูรณ์

ที่นี่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการ หลีกหนีความวุ่นวายและสัมผัสธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น การล่องเรือสำรวจเกาะเล็ก ๆ การดำน้ำตื้นชมปะการัง หรือการเดินเล่นตามชายหาดที่เงียบสงบ เช่น Spiaggia Rosa (หาดทรายสีชมพู) และ Cala Coticcio ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ตาฮิติแห่งอิตาลี”

ลา มาเดเลนาเคยเป็นที่ตั้งของ ฐานทัพเรือของกองทัพเรืออิตาลีและสหรัฐฯ และยังเคยเป็นสถานที่ที่นโปเลียน โบนาปาร์ตถูกเนรเทศ

สถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีที่แปลกใหม่

21. ซัสซิ ดิ มาเตรา (Sassi di Matera) – เมืองถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ซัสซิ ดิ มาเตรา (Sassi di Matera)
ซัสซิ ดิ มาเตรา (Sassi di Matera)

ซัสซิ ดิ มาเตรา (Sassi di Matera) เป็นหนึ่งใน เมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในแคว้น บาซิลิกาตา (Basilicata) ทางตอนใต้ของอิตาลี เมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงจาก บ้านเรือนและโบสถ์ที่ถูกแกะสลักเข้าไปในหน้าผาหินปูน ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์กว่า 9,000 ปี

มาเตราเคยถูกมองว่าเป็น “แผลเป็นของอิตาลี” เนื่องจากความยากจนและสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากในอดีต แต่ปัจจุบันได้รับการฟื้นฟูจนกลายเป็น แหล่งท่องเที่ยวอิตาลีที่น่าทึ่งและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO

มาเตราได้รับเลือกให้เป็น เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปในปี 2019 (European Capital of Culture 2019) และยังเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ดัง เช่น No Time to Die (James Bond 007) และ The Passion of the Christ

22. อัลเบอโรเบลโล (Alberobello) – หมู่บ้านบ้านหิน Trulli สุดแปลกตา

อัลเบอโรเบลโล (Alberobello)
อัลเบอโรเบลโล (Alberobello)

อัลเบอโรเบลโล (Alberobello) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ตั้งอยู่ในแคว้น ปูเกลีย (Puglia) ทางตอนใต้ของอิตาลี ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง บ้านหิน Trulli ซึ่งเป็นบ้านทรงกรวยสีขาวที่ทำจากหินปูนแบบโบราณ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO

บ้าน Trulli เหล่านี้มี อายุหลายร้อยปี และถูกสร้างขึ้นโดยไม่ใช้ปูนซีเมนต์ เพื่อให้สามารถรื้อถอนและสร้างใหม่ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลีกเลี่ยงการเก็บภาษีในอดีต ปัจจุบัน อัลเบอโรเบลโลกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีที่น่าหลงใหลที่สุดของอิตาลี เต็มไปด้วย ตรอกซอกซอยแสนน่ารัก ร้านค้าเล็ก ๆ และวิวที่ราวกับหลุดออกมาจากนิทาน

สัญลักษณ์ลึกลับที่เห็นบนหลังคาบ้าน Trulli เชื่อกันว่าเป็น เครื่องหมายป้องกันโชคร้ายและนำพาความโชคดี

23. ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) – ภูเขาไฟที่เคยทำลายเมืองปอมเปอี

ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius)
ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius)

ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius หรือ Monte Vesuvio) เป็นหนึ่งใน ภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใกล้กับอ่าวเนเปิลส์ (Bay of Naples) ทางตอนใต้ของอิตาลี ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่รู้จักจาก การปะทุครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 79 ซึ่งได้ทำลาย เมืองปอมเปอี (Pompeii) และเฮอร์คิวลาเนียม (Herculaneum) กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์

แม้ว่าวิสุเวียสจะยังเป็น ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ (Active Volcano) แต่ปัจจุบันเป็น แหล่งท่องเที่ยวอิตาลีทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถ เดินขึ้นไปถึงปากปล่องภูเขาไฟ เพื่อชมวิวแบบพาโนรามาของ อ่าวเนเปิลส์ เมืองปอมเปอี และชายฝั่งอามาลฟี

ภูเขาไฟวิสุเวียสเป็นหนึ่งใน ภูเขาไฟที่อันตรายที่สุดในโลก เนื่องจากอยู่ใกล้กับเขตเมืองที่มีประชากรมากกว่า 3 ล้านคนอาศัยอยู่

24. บันไดตุรกี (Scala dei Turchi) – หน้าผาสีขาวสวยงามริมทะเล

บันไดตุรกี (Scala dei Turchi)
บันไดตุรกี (Scala dei Turchi)

บันไดตุรกี (Scala dei Turchi) เป็นหนึ่งในสถานที่ธรรมชาติที่น่าทึ่งที่สุดของอิตาลี ตั้งอยู่บนชายฝั่งตอนใต้ของเกาะ ซิซิลี (Sicily) ใกล้กับเมือง อากริเจนโต (Agrigento) จุดเด่นของที่นี่คือ หน้าผาหินปูนสีขาวสว่างตา ที่ถูกกัดเซาะโดยลมและน้ำทะเลจนกลายเป็น ชั้นหินเรียงตัวเป็นขั้นบันได ยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ชื่อ “บันไดตุรกี” มาจากเรื่องเล่าที่ว่า ในอดีต โจรสลัดและพ่อค้าชาวอาหรับและตุรกีมักใช้หน้าผานี้เป็นจุดหลบภัยจากพายุและฐานที่มั่น ปัจจุบัน ที่นี่กลายเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงาม และเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สีขาวของหน้าผาตัดกับ น้ำทะเลสีฟ้าเข้ม ทำให้บันไดตุรกีเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ มีทิวทัศน์โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่สุดของอิตาลี

เมืองแฟชั่นและศิลปะสมัยใหม่

25. มิลาน (Milan) – เมืองแฟชั่นระดับโลก

มิลาน (Milan)
มิลาน (Milan)

มิลาน (Milan หรือ Milano ในภาษาอิตาลี) เป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ศูนย์กลางแฟชั่นและดีไซน์ระดับโลก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี และเป็นเมืองที่มีความทันสมัยมากที่สุดของประเทศ ที่นี่เป็นบ้านของแบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์ เช่น Prada, Gucci, Versace และ Armani รวมถึงเป็นสถานที่จัด Milan Fashion Week ซึ่งเป็นหนึ่งในอีเวนต์แฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

นอกจากแฟชั่นแล้ว มิลานยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วย ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมอันงดงาม ไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ มหาวิหารดูโอโมแห่งมิลาน (Duomo di Milano) ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ห้าง Galleria Vittorio Emanuele II ที่หรูหรา และ ภาพวาด “The Last Supper” ของเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

มิลานยังเป็นเมืองแห่งฟุตบอล โดยเป็นบ้านของสองสโมสรยักษ์ใหญ่ เอซี มิลาน (AC Milan) และอินเตอร์ มิลาน (Inter Milan)

26. มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) – โบสถ์สวยที่สุดในอิตาลี

มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano)
มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano)

มหาวิหารดูโอโม่แห่งมิลาน (Duomo di Milano) เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในอิตาลี และยังเป็น มหาวิหารสไตล์โกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน เป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ใครมาเยือนต้องแวะชม

มหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 600 ปี และมีจุดเด่นอยู่ที่ ยอดแหลม (Spire) ที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงกว่า 135 ยอด และรูปปั้นหินอ่อนกว่า 3,400 องค์ อีกทั้งยังสามารถขึ้นไปบนดาดฟ้าของมหาวิหารเพื่อชม วิวเมืองมิลานแบบพาโนรามา และชม รูปปั้นพระแม่มาเรียสีทอง “Madonnina” ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง

ดูโอโม่แห่งมิลานสามารถจุผู้คนได้มากถึง 40,000 คน ทำให้เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

27. พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซิ (Uffizi Gallery) – รวมผลงานศิลปะชิ้นเอก

พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซิ (Uffizi Gallery)
พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซิ (Uffizi Gallery)

พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซิ (Uffizi Gallery หรือ Galleria degli Uffizi) เป็นหนึ่งใน พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สำคัญและโด่งดังที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่เก็บรวบรวม ผลงานศิลปะยุคเรอเนซองส์ (Renaissance) จากศิลปินระดับโลก เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี, มีเกลันเจโล, ราฟาเอล และบอตติเชลลี

หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดที่จัดแสดงที่นี่คือ “The Birth of Venus” ของ Sandro Botticelli ภาพวาดอันงดงามที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคเรอเนซองส์ นอกจากนี้ยังมี “Annunciation” ของเลโอนาร์โด ดา วินชี และ “Doni Tondo” ของมีเกลันเจโล ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอิตาลีและคนรักศิลปะจากทั่วโลก

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็น ที่ทำการราชการของตระกูลเมดิชี (Medici Family) ก่อนจะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในศตวรรษที่ 18

28. เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์ (The Last Supper) – ภาพวาดระดับตำนานของดาวินชี

เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์ (The Last Supper)
เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์ (The Last Supper)

“เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์” (The Last Supper หรือ “Il Cenacolo”) เป็นหนึ่งใน ผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในโลก สร้างสรรค์โดย เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ภาพวาดนี้ตั้งอยู่บนผนังของ โบสถ์ซานตามาเรีย เดลเล กราซีเอ (Santa Maria delle Grazie) ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

ภาพวาดนี้เป็นการถ่ายทอด ช่วงเวลาสำคัญของพระเยซูและสาวกทั้ง 12 คนในมื้ออาหารค่ำมื้อสุดท้าย ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงกางเขน ซึ่งแสดงถึงความตื่นตระหนกของสาวกเมื่อพระเยซูประกาศว่ามีคนทรยศอยู่ในหมู่พวกเขา งานศิลปะชิ้นนี้โดดเด่นด้วย เทคนิคการใช้แสงและเงา (Chiaroscuro) และการสร้างมิติให้ภาพดูสมจริง ซึ่งเป็นนวัตกรรมของดา วินชี

ภาพวาดนี้เปราะบางและได้รับการอนุรักษ์อย่างเข้มงวด ต้องจองตั๋วล่วงหน้า เพราะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละรอบ

เทศกาลและประสบการณ์พิเศษในอิตาลี

29. เทศกาลคาร์นิวัลเวนิส (Venice Carnival) – เทศกาลสวมหน้ากากที่มีชื่อเสียงระดับโลก

เทศกาลคาร์นิวัลเวนิส (Venice Carnival)
เทศกาลคาร์นิวัลเวนิส (Venice Carnival)

เทศกาลคาร์นิวัลเวนิส (Venice Carnival หรือ Carnevale di Venezia) เป็นหนึ่งใน เทศกาลที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ไฮไลต์ของเทศกาลคือ การแต่งกายสุดอลังการและการสวมหน้ากากแฟนซีอันหรูหรา ซึ่งสะท้อนถึง ยุครุ่งเรืองของเวนิสในศตวรรษที่ 18

เทศกาลนี้มีต้นกำเนิดตั้งแต่ ศตวรรษที่ 12 และถูกฟื้นฟูขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1979 ปัจจุบัน ดึงดูดนักท่องเที่ยวอิตาลีจากทั่วโลกให้มา ชมขบวนพาเหรด หน้ากากสุดประณีต การแสดงกลางแจ้ง และงานเต้นรำสุดหรูในพระราชวัง

หน้ากากที่มีชื่อเสียงของเทศกาลนี้ ได้แก่ Bauta (หน้ากากขาวเต็มใบหน้า), Moretta (หน้ากากดำลึกลับ) และ Volto (หน้ากากแฟนตาซีที่ตกแต่งวิจิตรบรรจง)

30. การแข่งขัน( Palio di Siena) – การแข่งม้าในเมืองยุคกลาง

การแข่งขัน (Palio di Siena)
การแข่งขัน (Palio di Siena)

Palio di Siena เป็นหนึ่งใน การแข่งขันม้าที่เก่าแก่และทรงเกียรติที่สุดในโลก จัดขึ้นปีละสองครั้งที่ จัตุรัสเปียซซ่า เดล กัมโป (Piazza del Campo) ใจกลางเมือง ซิเอนา (Siena) แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี งานนี้เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา แต่เป็น เทศกาลที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของชาวซิเอนา ที่มีมานานหลายศตวรรษ

การแข่งขันจัดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม (Palio di Provenzano) และ 16 สิงหาคม (Palio dell’Assunta) โดยเป็นการแข่งม้าแบบไร้อานที่ดุเดือดและเต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งมี 10 เขต (Contrade) จาก 17 เขตของเมืองเข้าร่วมแข่งขัน งานนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวอิตาลีจากทั่วโลกให้มาสัมผัส ขบวนพาเหรดยุคกลาง พิธีกรรมทางศาสนา และบรรยากาศของการแข่งขันที่เต็มไปด้วยพลัง

แต่ละเขต (Contrada) มี สัญลักษณ์ ธง และเพลงเชียร์ของตัวเอง และผู้ชนะจะได้รับ ผืนธง Palio อันทรงเกียรติ ที่ออกแบบใหม่ทุกปี

สนใจเลือกเที่ยวอิตาลีไปกับ GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยว

ทัวร์อิตาลี

ช่องทางติดต่อได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 -17.00 น.

Line: @GoTogetherTravel

โทร: 02-214-6088 , 081-405-9726