ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ยื่นขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาคงทราบดีว่า ขั้นตอนการขอวีซ่าเข้าประเทศนั้นยุ่งยากขึ้น เมื่อเดือนมีนาคม 2018 กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เสนอไอเดียให้ผู้ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ต้องเปิดเผยข้อมูลบัญชีโซเชียลมีเดียร่วมด้วย และข้อบังคับดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและมีผลแล้วสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศออกมาแล้วว่า ได้ปรับแบบฟอร์มขอวีซ่าเข้าประเทศให้ต้องกรอก “ข้อมูลแอคเคาน์โซเชียลมีเดีย” ลงไปด้วย รวมถึงผู้ขอวีซ่าต้องกรอกด้วยว่า มีบุคคลในครอบครัวเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายหรือไม่
สหรัฐอเมริกาให้เหตุผลว่า สาเหตุที่ปรับเปลี่ยนแบบฟอร์มการขอวีซ่าเนื่องจากต้องการยกระดับระบบรักษาความปลอดภัยในประเทศให้เข้มแข็งขึ้น สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ต้องกรอกข้อมูลนั้นไม่จำกัดเฉพาะบริษัทที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเช่น Facebook, Flickr, Google+, Instagram, LinkedIn, Reddit, Tumblr, Twitter และ YouTube แต่ยังรวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ที่เติบโตอยู่นอกสหรัฐอเมริกาด้วย เช่น Douban, QQ และ Sina Weibo และไม่ใช่ข้อมูลแค่ปีนี้ปีเดียว แต่เป็นการขอข้อมูลย้อนหลังนานถึง 5 ปี โดยทางการจะนำไปประกอบกับข้อมูลอื่น ๆ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ อีเมลแอดเดรส การเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงว่าเคยถูกเนรเทศออกนอกประเทศใดหรือไม่ด้วย
สำหรับคนที่ไม่มีแอคเคาน์โซเชียลมีเดียก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะทางการสหรัฐฯ ระบุว่า สามารถทำเครื่องหมายในช่อง“ไม่มีแอคเคาน์โซเชียลมีเดีย”ก็ได้ แค่ขอให้คุณเปิดเผยชื่อที่ใช้ในโซเชียลมีเดียนั้น แต่ไม่ได้ขอให้คุณเปิดเผยรหัสผ่าน แค่ต้องการดูเนื้อหาที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะเท่านั้นเป็นมาตรฐานคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนชาวอเมริกัน และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย
สำหรับมาตรการดังกล่าว คนที่จะใช้วิธีนี้เพื่อหลบเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ พวกเขาก็ขู่ไว้ด้วยว่า การโกหกนั้นจะยิ่งส่งผลในแง่ลบต่อผู้เดินทางมากกว่า ดีไม่ดีอาจเผชิญสถานการณ์ที่ยุ่งยากมากขึ้นตอนตรวจคนเข้าเมืองด้วย
แนะเทคนิคอย่าโพสต์ข้อความล่อแหลม มีรายงานว่า มีบริษัทสัญชาติจีนหลายรายที่ทำธุรกิจส่งนักศึกษาเข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเตือนลูกค้าของพวกเขาแล้วว่า ไม่ควรโพสต์ข้อความหลายๆ อย่างบนโลกโซเชียล ยกตัวอย่างเช่น maternity hotel, give birth to babies in the U.S., guns, green card, buy property in the U.S. เป็นต้น
ทางสหรัฐอเมริกาออกมาตรการมาแบบนี้แล้ว ผู้ที่เตรียมเดินทางไปเที่ยวก็คงต้องระวังตัวในการโพสท์ลงในโซเชียลมีเดียของเราเอง เพราะบางโพสท์ที่เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเป็นแค่การโพสท์เล่นๆ เท่านั้น แต่เกิดมีคนมาตรวจสอบแล้วเค้าเห็นว่ามันอาจกระทบกับความปลอดภัยของประเทศเค้าแล้วเราอาจจะโดนแบล็คลิสท์ห้ามเข้าประเทศเลยก็ได้