คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ประเทศตุรกี ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น อาณาจักรฮิตไทต์ (Hittite), อาณาจักรเปอร์เซีย, อาณาจักรโรมัน และไบแซนไทน์ สำหรับเมืองนี้มีความโดดเด่นและความสวยงามอย่างบอลลูนที่ลอยล่องอยู่เต็มท้องฟ้าและอีกมากมาย
โดยหากจะพูดถึง เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ที่นี่ถือเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี และมีเรื่องราวโดดเด่นอยู่หลายเรื่องด้วยกันไม่ว่าจะเป็นในช่วง ศตวรรษที่ 6-4 ก่อนคริสต์ศักราช คัปปาโดเกียอยู่ภายใต้การปกครองของ จักรวรรดิเปอร์เซีย และต่อมา อเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ได้เข้ามายึดครองในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช จนกระทั้งเมื่อจักรวรรดิโรมันเข้ามาปกครอง คัปปาโดเกียก็ได้กลายเป็น ศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ยุคแรก และเป็นที่หลบภัยของชาวคริสเตียนที่หนีจากการกดขี่ของโรมัน
สนใจเลือกเที่ยวตุรกีไปกับ GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยว
Line: @GoTogetherTravel โทร: 02-214-6088 , 081-405-9726
ที่สำคัญ คัปปาโดเกีย ยังได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองที่มีลักษณะทางกายภาพที่พิเศษ จากการระเบิดของภูเขาไฟในยุกก่อน ทำให้เมืองนี้มีพื้นผิวที่แปลกตา และแตกต่างกันออกไป แต่ทว่าความแปลกตานั้นกลับกลายเป็นความสวยงามที่หาจากที่ไหนไม่ได้เลย
ไม่แปลกใจเลยว่าที่นี่กลายเป็นสถานที่ยอดนิยอมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าที่ประเทศตุรกี ที่เดินทางมาชมความแปลกตามีหินน้อยใหญ่เป็นรูปแท่งกรวย ทรงคว่ำ ทั้งปล่อง กระโจม โดม จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมือง ปล่องไฟนางฟ้า (Fairy Chimney) และในวันนี้เรา gotogethertravel จะพาไปชมสถานที่อันแสนงดงามอย่างเมือง คัปปาโดเกีย ในปี 2025 เมืองที่ถือได้ว่าเป็นมนต์เสน่ห์แห่งภูเขาไฟที่ดับแล้ว และเป็นจุดที่สามารถชื่นชมบอลลูนกับทัศนียภาพของธรรมชาติที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีอะไรอีกบ้างให้คุณเข้าไปสัมผัสและค้นพบมากมายจากนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันได้เลย
นั่งบอลลูนลมร้อนที่ คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ประสบการณ์สำคัญที่ใคร ๆ ก็ต้องทำหากมาที่นี่
คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ประเทศตุรกี เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ ดีที่สุดในโลกสำหรับการขึ้นบอลลูนลมร้อน ด้วยภูมิประเทศที่แปลกตา เต็มไปด้วยหุบเขาหินทรงกรวย (Fairy Chimneys) และเมืองถ้ำโบราณ การได้ลอยขึ้นฟ้าชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือภูมิทัศน์สุดมหัศจรรย์คือ ประสบการณ์ที่คุณต้องลองสักครั้งในชีวิต
หากคุณได้ทำการจองตั๋วในการขึ้นบอลลูน เราขอแนะนำช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งก่อนขึ้นบอลลูนไปจนถึงการลงจอดให้กับทุกท่านเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมอีกด้วย
- ⏰ 04:00-05:00 น. – ตื่นเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น รถจากบริษัทบอลลูนจะมารับคุณที่โรงแรม และพาไปยังจุดปล่อยบอลลูน
- ☕ 05:30 น. – รับประทานอาหารเช้าแบบเบาๆ พร้อมชมการเตรียมบอลลูนและถ่ายรูปกับบอลลูนที่กำลังถูกเป่าลม
- 🎈 06:00 น. – เริ่มออกเดินทาง! บอลลูนจะค่อยๆ ลอยขึ้นฟ้า ขณะที่แสงแรกของวันค่อยๆ สาดส่องลงบนหินสีส้ม-ชมพูของคัปปาโดเกีย คุณจะได้เห็น ทิวทัศน์สุดอลังการ และบอลลูนอีกนับร้อยลูกลอยอยู่บนท้องฟ้า
- 🌄 06:30-07:00 น. – บอลลูนลอยสูงขึ้นไปประมาณ 500-800 เมตร และเคลื่อนผ่านหุบเขา เมืองโบราณ และภูมิทัศน์ที่ดูราวกับโลกแฟนตาซี
- 🥂 07:30 น. – ลงจอดอย่างปลอดภัย พร้อมรับ ใบประกาศนียบัตร และดื่มแชมเปญฉลองประสบการณ์สุดพิเศษ
แนะนำการจองกิจกรรมล่วงหน้าเพื่อไม่ให้พลาด
✔ จองล่วงหน้า อย่างน้อย 1-2 เดือน โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น
✔ ราคาเริ่มต้น 150-300 USD (~5,500-11,000 บาท) ขึ้นอยู่กับบริษัทและช่วงเวลา
เคล็ดลับการขึ้นบอลลูนให้ฟินสุดๆ แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ เพราะตอนเช้าอากาศหนาวมาก และเตรียมกล้องหรือมือถือให้พร้อม เพราะวิว สวยอลังการทุกมุม!
ข้อแนะนำเพิ่มเติม ถ้าบอลลูนถูกยกเลิกเพราะลมแรงจะทำให้ทริปนั้นหมดสนุกแน่นอน เราขอแนะนำให้เลือกบริษัทบอลลูนที่มีรีวิวดีเพื่อความปลอดภัย
แน่นอนหากคุณไม่รู้จะจองกิจกรรมนี้อย่างไรเราขอแนะนำให้ติดต่อบริษัทของเรา gotogethertravel เพื่อให้ทุกท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากการท่องเที่ยวที่นี่ รับรองไม่มีผิดหวัง
ไฮไลท์สถานที่สำคัญที่ต้องไปเยือนให้ได้ใน คัปปาโดเกีย ปี 2025
คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สวยงามและแปลกตาที่สุดในโลก ด้วยภูมิประเทศที่เกิดจากหินภูเขาไฟ และประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สืบทอดมาตั้งแต่อาณาจักรฮิตไทต์ ไฮไลต์ของที่นี่แม้จะหนีไม่พ้นการลอยบอลลูนเหนือหุบเขา เพื่อชมทัศนียภาพราวกับอยู่บนดินแดนเทพนิยาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ยังมีอีก 4 สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์สุดพิเศษในปี 2025 ที่คุณห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด
1. หุบเขาเกอเรเม (Göreme) และพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง

หุบเขาเกอเรเม (Göreme Valley) เป็นศูนย์กลางของคัปปาโดเกียและเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม (Göreme Open Air Museum) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ตั้งแต่ปี 1985 ที่นี่เต็มไปด้วย โบสถ์ถ้ำและอารามโบราณ ที่ถูกสลักขึ้นจากหินภูเขาไฟ
โดยไฮไลต์สำคัญของที่นี่นั้นจะเป็น โบสถ์ถ้ำ (Rock-Cut Churches) ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเมมีโบสถ์ถ้ำมากมายที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10-12 โดยชาวคริสต์ที่ลี้ภัยจากการกดขี่ของจักรวรรดิโรมันนั่นเอง และยังมี อารามและที่อยู่อาศัยในถ้ำ (Monastic Complexes & Dwellings) โดยโบสถ์และอารามในหุบเขาเกอเรเมถูกสร้างขึ้นเป็นเครือข่ายของอุโมงค์และถ้ำที่เชื่อมต่อกัน
ซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ชาวคริสต์ยุคแรกใช้ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา และเป็นที่หลบภัยจากสงคราม และที่ห้ามพลาดเลยคือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังไบแซนไทน์ (Byzantine Frescoes) ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ทำให้เป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีและวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในตุรกีนั่นเอง
แน่นอนว่าที่นี่ยังมีกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์อีกด้วยนั่นก็ คือ นั่งบอลลูนลมร้อนยามเช้า เพื่อชมทัศนียภาพเหนือหุบเขาเกอเรเม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม เดินป่าและปีนเขาในหุบเขาเกอเรเม ซึ่งมีเส้นทางเดินป่าที่เชื่อมไปยัง Love Valley และ Red Valley ได้อีกด้วย
ที่ตั้ง : https://maps.app.goo.gl/QRnBLivi9Snfkn6J9
💰 ค่าเข้าชม 150 ลีราตุรกี (~225 บาท)
⏰ เวลาเปิด-ปิด ทุกวัน 08:00 – 17:00 น.
2. ปราสาทอุชิซาร์ (Uçhisar Castle) จุดชมวิวที่สูงที่สุดในคัปปาโดเกีย

ปราสาทอุชิซาร์ (Uçhisar Castle) เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของคัปปาโดเกียและเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในภูมิภาคนี้ ตั้งอยู่บนยอดเขาหินภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหุบเขาและเมืองโดยรอบได้แบบ 360 องศา นอกจากความงดงามทางธรรมชาติแล้ว ปราสาทแห่งนี้ยังเต็มไปด้วย ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเมืองและทหารในช่วงสงคราม อีกทั้งยังเป็นป้อมปราการป้องกันศัตรูในอดีตที่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวโรมันและต่อมาถูกใช้โดยจักรวรรดิไบแซนไทน์ และออตโตมัน
โดยไฮไลต์สำคัญของที่นี่นั้นจะเป็น จุดชมวิวพาโนรามา 360 องศา ในปราสาทอุชิซาร์ จะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของคัปปาโดเกียได้ไกลสุดลูกหูลูกตานั่นเองที่จะทำให้คุณได้เห็นทิวทัศน์ของ หุบเขาเกอเรเม (Göreme Valley) เสาหินรูปร่างแปลกตาใน Love Valley และ Pigeon Valley รวมไปถึง ภูเขาไฟเออร์เจียส (Mount Erciyes) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของหินภูเขาไฟในคัปปาโดเกียอีกด้วย นอกจากนี้ภายในปราสาทมี ห้องถ้ำ อุโมงค์ และเส้นทางลับ ที่เคยใช้เป็นที่พักอาศัยของชาวเมืองในอดีต และมีห้องต่าง ๆ เช่น ห้องเก็บอาหาร ห้องประชุม และโบสถ์ถ้ำเล็ก ๆ
หากคุณยังไม่จุใจอยากให้คุณได้ลองไปสำรวจหมู่บ้านอุชิซาร์ ซึ่งที่นี่นั้นเต็มไปด้วย คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และ Cave Hotels ที่ให้บรรยากาศแบบดั้งเดิม เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของ คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
ที่ตั้ง : https://maps.app.goo.gl/yrxrVgfFaiEQ5zds6
💰 ค่าเข้าชม 50 ลีราตุรกี (~75 บาท)
⏰ เวลาเปิด-ปิด 08:00 – 19:00 น.
3. หุบเขาแห่งความรัก (Love Valley) จุดถ่ายรูปสุดโรแมนติกแห่งคัปปาโดเกีย

หุบเขาแห่งความรัก (Love Valley) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยและมีเอกลักษณ์ที่สุดของคัปปาโดเกีย โดยชื่อ “Love Valley” ของที่นี่นั้นมาจากเสาหินที่เกิดจากธรรมชาติที่มีทรงแปลกตามีรูปร่างคล้าย เสาหินฟาโรห์ (Phallic Rock Formations) จึงทำให้คนท้องถิ่นได้ตั้งชื่อหุบเขานี้ว่า “หุบเขาแห่งความรัก” พร้อมทั้งที่นี่ยังมีวิวที่งดงาม ทำให้ที่นี่กลายเป็น จุดชมวิวและจุดถ่ายภาพยอดนิยม โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นที่มีบอลลูนลมร้อนลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
โดยไฮไลต์ของที่นี่นั้นจะเป็น เสาหินธรรมชาติรูปร่างแปลกตาที่เรียกว่า “Fairy Chimneys” หรือ เสาหินทรงสูง ที่เกิดจากการกัดเซาะของลมและฝนเป็นเวลาหลายล้านปี โดยบางเสามีความสูงถึง 40 เมตร เลยทีเดียว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวส่วนมากยังนิยมไป Love Valley Viewpoint ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดของคัปปาโดเกีย ที่นี่สามารถมองเห็น บอลลูนลมร้อนลอยอยู่ท่ามกลางหุบเขา ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
หากคุณต้องการหากิจกรรมทำสำหรับคู่รัก เราขอแนะนำให้ลองไป ขี่ม้าชมวิว (Horseback Riding) ดูรับรองไม่มีผิดหวังแถมราคายังไม่แพงมากอีกด้วยอยู่ที่ 25-30 เหรียญ (ประมาณ 900 – 1000 บาท) ต่อชั่วโมง หรือหากคุณเป็นอยากหากิจกรรมมัน ๆ เราขอแนะนำ เช่ารถ ATV ขับตะลุยเส้นทางหุบเขา ราคาเริ่มต้นที่ 40-50 เหรียญ (ประมาณ 1,500 – 1,800 บาท) ต่อ 2 ชั่วโมง
ที่ตั้ง : https://maps.app.goo.gl/szKko4AqAMyLgHUb7
💰 ค่าเข้าชม ฟรี
⏰ เวลาเปิด-ปิด เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
4. เมืองใต้ดินเดอรินคูยู (Derinkuyu Underground City) ความลับใต้พิภพแห่งคัปปาโดเกีย

เมืองใต้ดินเดอรินคูยู (Derinkuyu Underground City) เป็นหนึ่งในเมืองใต้ดินที่ใหญ่และลึกที่สุดของคัปปาโดเกีย และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึง ภูมิปัญญาและเทคนิคการก่อสร้างของอารยธรรมโบราณ ซึ่งเดอรินคูยู (Derinkuyu) ได้ถูกค้นพบในปี 1963 โดยบังเอิญ ขณะที่ชาวบ้านทำการปรับปรุงบ้านของตนเอง
ภายหลังจากการถูกค้นพบเมื่อขุดลึกลงไปใต้ดินกว่า 85 เมตร นั้นจึงทราบว่าที่นี่เคยถูกใช้เป็นที่หลบภัยของ ชาวคริสต์ยุคแรก และชาวเมืองในช่วงสงครามนั่นเอง โดยเมืองใต้ดินแห่งนี้นั้นคาดว่าเริ่มถูกขุดขึ้นตั้งแต่ ศตวรรษที่ 8-7 ก่อนคริสต์ศักราช โดยชาว ฟริเจียน (Phrygians) และถูกขยายเพิ่มเติมโดยชาวไบแซนไทน์ และคริสต์ศาสนิกชนที่ต้องการหลบหนีจากการรุกรานของศัตรู ซึ่งเมืองใต้ดินแห่งนี้สามารถรองรับคนได้มากถึง 20,000 คน และมีชั้นทั้งหมด 18 ชั้น แต่ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเพียง 8 ชั้นแรกเท่านั้น
ไฮไลต์ของที่นี่จะเป็นการเข้าชม เครือข่ายอุโมงค์ที่ซับซ้อน ที่เต็มไปด้วย ทางเดินลับ บันไดแคบ และห้องต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกัน และยังมีการเชื่อมต่อกับเมืองใต้ดินอื่น ๆ อีกด้วย เช่น เมืองไคมัคลี (Kaymaklı Underground City) นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของเดอรินคูยูอีกด้วยนั่นก็ คือ “ประตูกลิ้งหิน” ซึ่งเป็น ก้อนหินหนักกว่า 500 กิโลกรัม ที่สามารถเลื่อนปิดได้จากภายใน โดยประตูเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ป้องกันศัตรูจากการบุกรุก นั่นเอง
ที่ตั้ง : https://maps.app.goo.gl/VZnKJxeQYagx6ZjCA
💰 ค่าเข้าชม 100 ลีราตุรกี (~150 บาท)
⏰ เวลาเปิด-ปิด 08:00 – 17:00 น.
ห้ามพลาด!! เปิดประสบการณ์ความอร่อยแบบตุรกีแท้ๆ ด้วยอาหารท้องถิ่นจาก คัปปาโดเกีย ที่คุณต้องลอง
คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ไม่ได้มีดีแค่บอลลูนลมร้อนและวิวหินทรงประหลาด แต่ยังเป็นแหล่งรวมอาหารตุรกีที่อร่อยและมีเอกลักษณ์ หากคุณมาเยือนที่นี่ ต้องไม่พลาดลิ้มลอง อาหารท้องถิ่นสุดพิเศษ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมและรสชาติแบบดั้งเดิม จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันได้เลย
1. Kebab Pottery – เคบับหม้อดิน ตุรกีแท้ๆ

Kebab Pottery (Testi Kebabı) เป็นอาหารซิกเนเจอร์ของคัปปาโดเกียที่เสิร์ฟมาใน หม้อดินเผาปิดผนึก ด้านในมีเนื้อแกะ เนื้อวัว หรือไก่ เคี่ยวกับมะเขือเทศ หัวหอม และเครื่องเทศจนหอมกรุ่น เหมาะสำหรับคนที่อยากลองอาหารตุรกีแท้ๆ พร้อมโชว์การเสิร์ฟที่เป็นเอกลักษณ์
ร้านแนะนำ
- Dibek Restaurant (เมืองเกอเรเม) – ร้านเก่าแก่ที่มีบรรยากาศแบบดั้งเดิม พิกัดร้าน : https://maps.app.goo.gl/1zz9c4B7XaAGhfZM8
- Seten Restaurant – วิวสวยและอาหารคุณภาพเยี่ยม พิกัดร้าน : https://maps.app.goo.gl/UmdkZpbVpmcUPBsEA
2. Gözleme – เครปตุรกีแป้งบาง ไส้แน่น

Gözleme คือ เครปสไตล์ตุรกี ที่ทำจากแป้งบางๆ กรอบนอก นุ่มใน ย่างบนกระทะร้อน ด้านในสอดไส้ชีส มันฝรั่ง ผักโขม หรือเนื้อสัตว์ ราดด้วยโยเกิร์ตและซอสพริก มีให้เลือกหลายไส้ ทั้งหวานและคาว กินคู่กับชาตุรกี (Çay) ฟินสุดๆ เป็นอาหารทานเล่นยอดนิยมของชาวตุรกี
ร้านแนะนำ
- Mama’s Gözleme – ร้านเล็กๆ ที่ทำ Gözleme สดๆ ทุกวัน พิกัดร้าน : https://maps.app.goo.gl/zFnUMNPqDLZmtNys5
- Fat Boys Restaurant – เหมาะสำหรับมื้อเบาๆ ริมทาง พิกัดร้าน : https://maps.app.goo.gl/gV3wa1MkojV1aeny8
3. ไวน์ท้องถิ่นจาก Cappadocia – สัมผัสรสชาติไวน์จากดินแดนแห่งหินภูเขาไฟ
คัปปาโดเกียเป็นหนึ่งใน แหล่งผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เนื่องจากดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากหินภูเขาไฟ ทำให้ไวน์ที่นี่มีรสชาติเข้มข้นและโดดเด่น โดยเฉพาะ ไวน์แดง Öküzgözü และ Boğazkere ซึ่งที่นี่มีโรงไวน์ให้เยี่ยมชม และชิมไวน์ฟรีได้อีกด้วย เหมาะกับการดื่มคู่กับอาหารตุรกีสุดๆ ไปเลย
โรงไวน์แนะนำ
- Turasan Winery – โรงไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในคัปปาโดเกีย พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ukPTmmgV6ordP9QN7
- Kocabağ Winery – ไวน์คุณภาพสูง บรรยากาศดี พิกัด : https://maps.app.goo.gl/oYxNcswYK6s52WBy5
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคัปปาโดเกีย
Q:คัปปาโดเกียเที่ยวเดือนไหนดีที่สุด?
A: อยากได้อากาศเย็นสบาย วิวสวยต้อง ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน – มิถุนายน) และฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) หากอยากเที่ยวแบบคึกคัก มีอากาศร้อนแนะนำ ฤดูร้อน (กรกฎาคม – สิงหาคม) แต่หากอยากเห็นหิมะและวิวบอลลูนสุดโรแมนติกต้อง ฤดูหนาว (ธันวาคม – มีนาคม)
Q:ต้องจองบอลลูนล่วงหน้าไหม?
A: ต้องจองล่วงหน้า! โดยเฉพาะในช่วง เมษายน – ตุลาคม ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของคัปปาโดเกีย บอลลูนเป็นกิจกรรมยอดนิยมมาก และเต็มเร็วมาก แนะนำเลยว่า
- จองล่วงหน้า อย่างน้อย 1-2 เดือน
- เลือกบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตและมีรีวิวดี เช่น Butterfly Balloons, Royal Balloons, Voyager Balloons
- ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและบริษัท โดยเริ่มต้นที่ 150-300 USD (~5,500-11,000 บาท)
Q:เที่ยวคัปปาโดเกียด้วยตัวเองหรือซื้อทัวร์ดีกว่า?
A: ดีทั้ง 2 แบบซึ่งหากคุณนั้นต้องการ เที่ยวด้วยตัวเอง จะเหมาะสำหรับสายลุยและต้องการอิสระ แน่นอนว่ามันประหยัดเงินกว่าทัวร์ แต่ต้องวางแผนดีๆ แต่หากคุณนั้นเลือก ซื้อทัวร์ จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบาย มีไกด์พาชมและอธิบายประวัติศาสตร์ ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางและอาหารการกิน
Q:ต้องใช้วีซ่าหรือไม่?
A: คนไทยเที่ยวตุรกีได้ “ไม่ต้องใช้วีซ่า” และสามารถพำนักได้นาน 30 วัน
สนใจเลือกเที่ยวตุรกีไปกับ GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยว
ช่องทางติดต่อได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 -17.00 น.
Line: @GoTogetherTravel
โทร: 02-214-6088 , 081-405-9726