เยือนถิ่น Poland ดินแดนหัวใจแห่งยุโรป
เมื่อสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดพรูมาอีกครั้ง มวลดอกไม้ในแถบยุโรปก็แข่งกันผลิบานสร้างความสดใส นำพาหัวใจให้สดชื่น ชักชวนให้เราเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปเยือนทวีปที่มีเสน่ห์นี้ โดยในบรรดาประเทศต่างๆ นั้น ‘โปแลนด์’ (Poland) คือหนึ่งในชื่อที่โดดเด่นขึ้นมาบนหน้าประวัติศาสตร์ ย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 จนถึงยุคกลาง ยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ได้อย่างผสมกลมกลืน โปแลนด์จึงเป็นดินแดนที่เปี่ยมด้วยความหลากหลาย ลงตัว อีกทั้งอาบอิ่มด้วยแหล่งมรดกโลก ปราสาทราชวัง และธรรมชาติพิสุทธิ์ที่ถือเป็น Unseen จริงๆ
หลายคนอาจจะรู้จักโปแลนด์จากหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายๆ เรื่อง เมื่อนาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองประเทศนี้เมื่อปี ค.ศ. 1939 เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่อาจรู้จักโปแลนด์ จากชื่อ ‘ค่ายออสวิทซ์’ (Schwitz Concentration Camp) ซึ่งนาซีเคยใช้เป็นค่ายกักกันชาวยิว และสังหารหมู่ชาวยิวไปกว่า 1.5 ล้านคน! นั่นคือภาพของความโหดร้ายและบทเรียนในอดีต ทว่าทุกวันนี้ ค่ายออสวิทซ์ได้พลิกบทบาทกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้สนใจประวัติศาสตร์เข้าชมอย่างใกล้ชิดกว่า 20 อาคาร รวมถึงได้ชมสิ่งของเครื่องใช้ของเชลยชาวยิวที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องเตือนใจให้มนุษยชาติไม่ทำร้ายกันอีก
ประตู่สู่โปแลนด์ของเราคือเมืองคราคูฟ (Krakow) เมืองต้นทางที่จะนำเข้าสู่ประเทศเปี่ยมเสน่ห์นี้ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยปราสาทราชวัง โบสถ์ และถนนคนเดินน่าเที่ยว ว่ากันว่าจริงๆ แล้วการจะสัมผัสโปแลนด์ให้ทั่วถึงต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ ทว่าการเที่ยวแบบเจาะลึก 7-10 วัน ก็พอใช้ได้เหมือนกัน โปแลนด์เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางของทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้าน มากมาย ทั้งรัสเซีย เยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย ยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย อีกทั้งโปแลนด์ยังเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวยที่สุดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 16 ด้วย การได้ไปเยือนโปแลนด์จึงทำให้เราสัมผัสอาคารสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ งดงาม จนถึงขนาดเป็นมรดกโลกก็มี ไม่ว่าจะเป็น ‘โบสถ์เซนต์แมรี่’ (Churchof St.Mary) แห่งเมืองกดังส์ (Gdansk) เป็นโบสถ์ที่ก่อสร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุคนไดถึง 25,000 คน แถมยังได้ชมความงามของอาคารริมน้ำท่าเรือกดังส์ บนอ่าวกดังส์ริมทะเลบอลติกและปากแม่น้ำมอตลาวา
จากนั้นต้องไปเที่ยวต่อที่เมืองรอตสวาฟ (Wroclaw) เมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 8 เมืองมีสีนสันที่สุดในยุโรป ใครชอบเดินทอดน่องชิลๆ หรือชอบถ่ายภาพ ไปเที่ยวเมืองนี้คงมีความสุขแน่นอน นอกจากนี้โปแลนด์ยังมี ‘เมืองโตรุน’ (Torun) เมืองที่ได้รับการขึ้นบัญชีมรดกโลก ด้วยความเก่าแก่และงดงาม เพราะเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 โดยอัศวินชาวเยอรมนี เฮอมานน์ ฟอน บาลค์ ตัวเมืองโตรุนในปัจจุบันจึงน่าชมด้วยย่านเมืองเก่า Old Town Market Square ที่เราสามารถเดินช็อปปิ้งอย่างสบายใจ ในบรรยากาศของสถาปัตยกรรมยุคเรอเนซองต์ ผสานกับสถาปัตยกรรมโกธิค บาโรค และนีโอคลาสสิก
ความมหัศจรรย์ของโปแลนด์ยังไม่หมดแค่นั้น ขอบอกเลยว่าเราจะต้องตกตะลึงพรึงเพริด หากได้ไปเยือน ‘เหมืองเกลือวิลิสก้า’ (Wieliczka Saltmine) เป็นเหมืองเกลือที่มีชื่อเสียง และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเราสามารถลงลิฟท์ไปชมเหมืองเกลือใต้พิภพ ณ ระดับความลึกถึง 327 เมตรจากผิวดินลงไป! ที่นี่มีทะเลสาบเกลือใต้ดินอันน่าตื่นตะลึง มีห้องสวดมนต์ ห้องแกลเลอร์รี่ และใช้เป็นที่ถนอมอาหารมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 องค์การยูเนสโกจึงขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1988 จากนั้นถ้ามีเวลาเหลือ ก็ควรไปเที่ยวต่อกันที่ ‘เมืองซาโกปาเน่’ (Zakopane) เมืองที่สูงที่สูงของโปแลนด์ ตั้งอยู่บนภูเขาสูงกว่า 750-1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นเมืองสวยสี่ฤดู ที่เหมาะไปเล่นสกีในฤดูหนาว และเที่ยวชมดอกไม้ ป่าสน หรือล่องแพไม้ในแม่น้ำดูนาเจค ซึ่งมีรายชื่อติดอยู่ในบัญชีมรดกโลกเช่นกัน
ปิดท้ายทริปโปแลนด์ให้เพอร์เฟค คงหนีไม่พ้นการพาตัวและหัวใจไปกล่าวคำทักทายกับ ‘วอร์ซอว์’ (Warsaw) เมืองหลวงของโปแลนด์ ชมพระราชวังวิลานอฟ (Wilanow Palace) และพระราชวังหลวง (Royal Castel) สุดตระการตา พากันไปช้อปปิ้งทิ้งท้ายที่ย่าน Nowy Swiat Street เพื่อชม Krakowskie Przedmiescic Streets ถนนสวยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงวอรซ์อ สองฝั่งถนนมีพระราชวัง ตึกรัฐบาล ร้านอาหาร ผับบาร์ และมีแนวต้นไม้ร่มรื่นน่าพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนเสี้ยวของความยิ่งใหญ่ งดงาม และความอัศจรรย์ในหลากแง่มุม ของประเทศโปแลนด์ ดินแดนจุดกึ่งกลางยุโรป ซึ่งเราอยากให้คุณเดินทางไปสัมผัสด้วยตนเอง สักครั้ง.