ซามาร์คานด์ (Samarkand) เป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณภาคกลางของประเทศ อยู่ในแหล่งน้ำของแม่น้ำซาราฟชาน ทางด้านเหนือมีพรมแดนติดกับจังหวัดนาวอย ทางด้านใต้ติดกับจังหวัดคัสห์คาดาริโอ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดกับจังหวัดจีซซัคห์ และทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับประเทศทาจิกิสถาน จังหวัดนี้มีพื้นที่ประมาณ 16,400 ตร.กม. มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2,400,000 คน ซึ่งส่วนมากประมาณร้อยละ 75 อาศัยอยู่นอกเมืองจังหวัดซามาร์คานด์ถูกก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ.1938 และถูกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 14 เขต มีเมืองซามาร์คานด์เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัด ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 370,000 คน
ซามาร์คานด์ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากทาซเค้นท์ เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และด้านวัฒนธรรมของประเทศ มีสถาบันที่สำคัญเกี่ยวกับโบราณคดี ทางด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ มีทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบในการก่อสร้าง เช่น หินอ่อน หินแกรนิท หินปูน คาร์บอเนต และหินช๊อค มีการปลูกพืชและการเกษตรเป็นเศรษฐกิจหลักของจังหวัด เช่น ปลูกฝ้าย และพวกธัญญาหาร มีโรงงานผลิตเหล้าองุ่น การเลี้ยงไหม ทางด้านโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงถลุงเหล็กเพื่อทำเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ โรงงานผลิตอาหาร โรงทอผ้า และทำเซรามิค ฯ
เมืองซามาร์คานด์ เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในเอเชียกลาง ตั้งอยู่ในโอเอซิส ซึ่งได้รับน้ำมาจากคลองที่ขุดมาจากแม่น้ำซาราฟชาน อเล็กซานเดอร์มหาราชผ่านมาเมืองนี้เพื่อที่จะเดินทางไปอินเดีย จึงได้ยึดเอาไว้ ต่อจากนั้นพวกเติร์ก พวกอาหรับ และพวกเปอร์เซียก็เข้าปกครองเมืองนี้ต่อ ๆ กันมา เมืองซามาร์คานด์แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุคกลาง และในปี ค.ศ.1215 เจงกิสข่านแผ่อาณาจักรเข้าควบคุมเส้นทางสายไหม แล้วได้ยึดครองซามาร์คานด์ในปี ค.ศ.1221 อีกประมาณ 100 ปีต่อมาเมืองนี้ก็เหลือแต่ซาก และข่านตีมูร์ (Timur Khan) เป็นผู้สร้างอาณาจักรนี้และทำให้เมืองนี้มีความเจริญขึ้นมา
ต่อมาในรัชสมัยของข่านอุลุค เบก (Ulug Beg Khan) ซามาร์คานด์ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและวิทยาการ พระองค์ทรงสร้างอาคารสองชั้นเพื่อใช้เป็นวิทยาลัยเทววิทยา ด้านหน้าอาคารประดับไปด้วยลวดลายที่งดงาม และยังทรงสร้างหอดูดาวที่มีเครื่องมือสังเกตการณ์ทันสมัยที่สุดในเวลานั้น และในปี ค.ศ.1449 อุลุค เบก ได้ถูกลอบปลงพระชนม์
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เจ้าแห่งราชวงศ์ตีมูร์กษัตร์ย์บาบูร์ (Babur) ผู้ครองเฟอร์กานา (Ferghana) ก็เข้ารุกรานอินเดียและทำการก่อตั้งจักรวรรดิโมกุลที่ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย จนกระทั่งมาเสื่อมโทรมลงในสมัยของกษัตริย์ออรังเซ็บ (Aurangzeb) เมื่อต้นคริสศตวรรษที่ 18 และถูกยุบอย่างเป็นทางการโดยบริติชราช หลังการปฏิวัติอินเดียปี ค.ศ.1857 หลังจากนั้นซามาร์คานด์ก็ได้เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเส้น
ทางสายไหมได้ถูกปิดลง และในปี ค.ศ. 1500 นครนี้ก็ได้ถูกพวกโกลเดน ฮอร์ด มองโกลผู้ครอบครองดินแดนเหนือทะเลสาบแคสเปียนจนไปถึงรัสเซีย มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเคียฟได้เข้ายึดครอบครอง และราวศตวรรษที่ 18 นครแห่งนี้ก็เสื่อมลงและร้างผู้คนเป็นเวลาประมาณ 50 ปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ตกเป็นดินแดนของรัสเซีย ซามาร์คานด์มีฐานะเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองนี้ มีการตัดเส้นทางรถไฟในปี ค.ศ.1896 และกลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าเกษตร ภายหลังดินแดนนี้ได้ถูกแบ่งแยกกลายเป็นส่วนหนึ่งประเทศอุซเบกิสถานในปัจจุบัน
ซามาร์คานด์ ได้รับสมญานามว่า เมืองแห่งโดมสีฟ้า (The City of Blue Domes) และเมืองแห่งตำนานนิยายหนึ่งพันหนึ่งอาหรับราตรี (Legend of 1001 Arabian Nights) ในประวัติศาสตร์ ถ้านับย้อนหลังไปหลายร้อยปี อาณาจักรโบราณห่งนี้เทียบได้กับอาณาจักรอียิปต์โบราณ ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งความเจริญรุ่งเรืองของสถาปัตยกรรมต่างๆ และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกใน ปี ค.ศ. 2001
ณ. ดินแดนแห่งซ๊อกเดียน่าในอดีต กษัตริย์ชาห์ยาร์ แห่งกรุงซามาร์คานด์ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซีย ในราชวงศ์ของซามานิดส์ของอาหรับ ต้องการที่จะไปเยี่ยมพระอนุชาที่เป็นกษัตริย์แห่งกรุงบูคาร่า ซึ่งไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานานถึง 20 ปีแล้ว
กษัตริย์ชาห์ยาร์ จึงได้ให้มีการจัดเตรียมกองคาราวานอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะออกเดินทางไปยังเมืองบูคาร่า แต่พอออกเดินทางจากเมืองไปได้ระยะทางไม่ไกลมากนัก กษัตริย์ชาห์ยาร์ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งของสำคัญไว้ที่ห้องเพื่อที่จะนำไปให้พระอนุชา กษัตริย์จึงได้ออกคำสั่งให้กองคาราวานอันยาวให้ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน และตัวเองจะรีบเดินทางมาร่วมที่หลัง และกษัตริย์ได้เดินทางย้อนกลับมาที่เมืองเพียงลำพังคนเดียวและเมื่อเดินทางกลับมาถึงวังในซามาร์คานด์ และได้ตรงไปยังห้องบรรทมของพระองค์ ก็ต้องทำให้พระองค์เกิดความประหลาดใจ ที่ได้เห็นพระชายานางสนมองค์หนึ่งของพระองค์กำลังนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับทาสรับใช้คนหนึ่ง ซึ่งกำลังทำในสิ่งที่เลวร้าย และโดยไม่จำเป็นที่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น พระองค์ก็ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตัดหัวของทาสคนนั้นขาดกระเด็น และพระองค์ก็ตัดหัวของนางสนมนั้นขาดเช่นเดียวกัน จากนั้นพระองค์ก็เอาของขวัญที่ได้เตรียมไว้เพื่อนำไปให้น้องชายตามที่ได้วางแผนเอาไว้ และก็ได้รีบเดินทางออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่พระองค์มิได้กล่าวสิ่งใดเลย นอกจากสิ่งที่ได้เห็นและทำให้พระองค์มีความหนักพระทัยเป็นอย่างมาก
เมื่อเดินทางมาใกล้ที่จะถึงเมืองบูคาร่า กษัตริย์ที่เป็นพระอนุชาของพระองค์ได้ออกมาต้อนรับ พร้อมกับแสดงความยินดีที่ได้เห็นพระเชษฐาที่เดินทางมาเยี่ยม และตรัสว่า เป็นเวลานานมากถึง 20 ปีที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน เมื่อพระองค์เสด็จมาที่นี่แล้วก็ต้องพักให้นานที่สุด เรามาเสวยกระยาหารกันและพรุ่งนี้เราจะออกไปล่าสัตว์กันให้สนุก
วันรุ่งขึ้นกษัตริย์ทั้งสององค์พร้อมด้วยกองกำลังเพื่อคุ้มครองรักษาพระองค์ ก็ได้ออกไปล่าสัตว์กัน และเดินทางกลับมาที่วังอย่างเกษมสำราญ และรุ่งขึ้นเช้าของทุกๆวันเรื่อยมา กษัตริย์ทั้งสองก็ได้ออกไปล่าสัตว์ จนกลับมาถึงวังในเวลาดึกซึ่งเป็นเวลาหลายคืนติดต่อกัน จนเช้าวันหนึ่งทำให้กษัตริย์ชาห์ยาร์แห่งซามาร์คานด์รู้สึกทรงประชวรและต้องการพักผ่อน ก็ได้ให้พระอนุชาออกไปล่าสัตว์เพียงลำพังพระองค์เดียว และพระองค์เองก็นอนพักผ่อนอยู่ที่ในห้องบรรทม
แต่พอไม่นานมากนักที่กษัตริย์แห่งบูคาร่า ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับกองรักษาพระองค์ กษัตริย์ชาห์ยาร์ก็ได้มองออกไปทางหน้าต่างห้องที่สนามหญ้าในวัง พระองค์ก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นพระชายาที่พระอนุชาชื่นชอบมากที่สุดกำลังร้องเรียก ซาอีด ฉันไม่ได้พบเธอนานเล้ว จากนั้นก็มีทาสรับใช้ผิวดำคนหนึ่งออกมายังสนามหญ้า พร้อมกับถอดเสื้อผ้าของผู้หญิงออกหมดและให้นอนลงไป พร้อมกันนั้นทาสรับใช้ผิวดำก็ทำในสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งเหมือนกันกับทาสรับใช้ของพระองค์ที่เมืองซามาร์คานด์ได้ทำกับพระชายาของพระองค์เองเหมือนกัน และไม่แต่เพียงเท่านั้นที่พระองค์ได้แลเห็น ก็ยังมีนางสนมอีก 40 คน ก็ได้แสดงสิ่งที่เลวร้ายกับพวกทาสรับใช้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งต่างๆที่พระองค์แลเห็น ก็ทำให้รู้สึกแปลกและเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ในตอนเย็นวันนั้นเมื่อกษัตริย์แห่งบูคาร่าเสด็จกลับมาจากล่าสัตว์ ก็รู้สึกว่าทำไมกษัตริย์ชาห์ยาร์ มีความสุขและสบายใจเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เหมือนกับเมื่อตอนเช้าที่พระองค์มีความรู้สึกเศร้าและไม่สบายใจ พระองค์จึงได้ถามว่า มีสิ่งอะไรหรือที่ดลบันดาลทำให้พระองค์เป็นเช่นนี้ กษัตริย์ชาห์ยาร์ก็ตอบว่า ก่อนที่จะออกเดินทางจากซามาร์คานด์ พระองค์ได้เห็นพระชายาที่โปรดมากที่สุดทำสิ่งที่เลวร้ายกับทาสรับใช้ พร้อมกับตัดหัวทั้งสองคน
เมื่อกษัตริย์แห่งบูคาร่าได้ฟังแล้ว ก็ได้กล่าวว่า ทำไมถึงเป็นสิ่งที่แย่และเลวขนาดนั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าพระองค์คงจะรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน แต่ว่าเรื่องแบบนั้นคงจะไม่บังเกิดขึ้นกับตนเอง แล้วมีเรื่องอะไรเล่าที่ทำให้พระองค์รู้สึกมีความสบายและเพลิดเพลินใจเช่นนี้ กษัตริย์ชาห์ยาร์ได้ตรัสว่า เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในซามาร์คานด์นั้นมีแค่คนเดียว แต่สำหรับเหตุเกิดที่นี่มีตั้ง 40 คน กษัตริย์บูคาร่ากล่าวว่า มันผู้นั้นเป็นใคร และทำเช่นนั้นได้อย่างไร
กษัตริย์ชาห์ยาร์ตรัสว่า ที่ซามาร์คานด์พระองค์มีพระชายาเพียงคนเดียว แต่ที่บูคาร่าพระองค์มีพระชายาและนางสนมถึง 40 คน และก็ได้ทำในสิ่งที่เลวร้ายเหมือนกันทั้งหมดเช่นเดียวกันกับพระชายาของพระองค์ได้ทำไว้ กษัตริย์ชาห์ยาร์ ก็ได้เล่าถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับกษัตริย์แห่งบูคาร่าฟัง
กษัตริย์แห่งบูคาร่าได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวแล้วก็ตรัสว่า เป็นไปไม่ได้ พระชายาของพระองค์ไม่ทำ และไม่เคยกระทำเช่นนั้น พระชายาของพระองค์บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์และจงรักภักดี พระชายาของพระองค์เป็นคนที่เคร่งครัด มีความศรัทธาอย่างสูง เข้าใจในเหตุผล และทรงไว้ซึ่งความดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกษัตริย์ชาห์ยาร์ได้ฟังดั้งนั้นก็ตรัสว่า ถ้าไม่เชื่อในสิ่งที่พระองค์เล่าให้ฟัง พรุ่งนี้ให้จัดเตรียมกองคาราวานเพื่อที่จะออกไปล่าสัตว์เหมือนกับวันก่อนๆ แต่ให้ส่งผู้ชายมาปลอมตัวเป็นพระองค์ และก็ให้ผู้ชายอีกคนปลอมตัวเป็นพระองค์เอง และเราทั้งสองคนก็จะคอยเฝ้าดูอยู่ที่ในห้องบรรทมอย่างลับๆ ซึ่งจะเห็นในสิ่งที่เราจะได้เห็นกัน
ในเช้าวันต่อมากองทหารของกษัตริย์ ก็ได้ออกเดินทางไปล่าสัตว์เหมือนกับวันก่อนๆ ซึ่งมีคนที่ได้ปลอมตัวให้เหมือนกับกษัตริย์ทั้งสององค์ออกเดินทางไปด้วย และกษัตริย์ตัวจริงทั้งสององค์ก็ได้แอบเฝ้าดูอยู่ในห้องบรรทม และแล้วเกือบจะทันทีที่กองทัพของกษัตริย์ทั้งสองได้ออกไป พระชายาของกษัตริย์บูคาร่าก็ตะโกนเรียก ซาอีด มาหาฉัน ฉันไม่ได้พบเธอนานแล้ว และทาสรับใช้ผิวดำก็ออกมาและทำทุกอย่างเหมือนเมื่อวานนี้ จากนั้นนางสนมอีก 40 คนก็ออกมาทั้งหมดพร้อมกับทาสรับใช้ทั้งหมดและก็ได้ทำเหมือนกันกับเมื่อวานนี้
กษัตริย์บูคาร่าแสดงความประหลาดใจและแปลกใจในสิ่งที่เขาไม่สามารถเชื่อได้ ดังนั้นจึงได้ออกคำสั่งให้ทหารจับตัวพระชายาและนางสนมทั้งหมด พร้อมด้วยทาสรับใช้ทั้งหมดมาตัดหัวหมดทุกคน หลังจากนั้นกษัตริย์บูคาร่าก็กล่าวกับกษัตริย์ชาห์ยาร์ มันเป็นชะตากรรมที่เราทั้งสองได้มาพบเห็น ซึ่งในตอนนี้เราทั้งสองได้เป็นอิสระ อยู่คนเดียวและสามารถที่จะคิดหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตได้
จากนั้นกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็ได้ขี่ม้าออกเดินทางไปไกลจนถึงชายฝั่งของทะเลสาบแคสเปียน เนื่องจากความเหนื่อยล้า ทั้งสองพระองค์จึงได้ลงนอนที่ใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบนั้น และในที่สุดก็หลับไป ขณะที่กษัตริย์ทั้งสองหลับอยู่นั้น ก็ได้มีปีศาจตัวใหญ่ได้ขึ้นมาจากทะเลสาบ พร้อมกับแบกหีบใบใหญ่ที่สวยงามเป็นสีทองอยู่บนเหนือหัวของเขา แต่โชคดีที่กษัตริย์ทั้งสองได้ตื่นขึ้นมา และในขณะเดียวกันก็ได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้และหลบซ่อนตัวตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ไห้ปีศาจมองเห็นตัวจากการที่ปีศาจได้แบกหีบนั้นมา ทำให้เหนื่อยมากและก็วางหีบใบนั้นลงบนพื้นพร้อมกับปลดที่ล๊อกและเปิดฝาออก เมื่อหีบถูกเปิดออกก็มีสาวรูปร่างสวยงามก้าวออกมา จากนั้นปีศาจก็นอนลงใต้ต้นไม้และหลับไป จากนั้นสาวงามก็เดินรอบต้นไม้อยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้มองขึ้นไปบนต้นไม้ที่กษัตริย์ทั้งสองได้หลบซ่อนอยู่ตามกิ่งไม้ หญิงสาวก็กล่าวกับกษัตริย์ทั้งสองว่า ลงมาข้างล่างและอยู่กับฉัน แต่กษัตริย์ทั้งสองได้ตรัสว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าลงไปแล้วปีศาจตื่นขึ้นมาพบเข้า ก็จะฆ่าเราทั้งสองคน
สาวงามก็กระทืบเท้าและกล่าวว่า ลงมาจากต้นไม้นั้นและมาอยู่กับฉันเดี๋ยวนี้ ถ้ากษัตริย์ทั้งสองไม่ทำตาม ก็จะปลุกให้ปีศาจซึ่งเป็นสามีของฉันลุกขึ้นมา และจะบอกเขาว่า กษัตริย์ทั้งสองได้มารบกวน และเขาก็จะฆ่าทั้งสองคนทันที
ด้วยความตกใจกลัวจนตัวสั่น กษัตริย์ทั้งสององค์ได้ไต่ลงมาจากต้นไม้และอยู่กับหญิงสาว พร้อมกับทำตามทุกอย่างที่หญิงสาวออกคำสั่ง ซึ่งได้สร้างความพอใจให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก พร้อมกับกล่าวว่า ทำได้ดีมาก และได้กล่าวกับกษัตริย์ทั้งสององค์ไห้ไต่ขึ้นไปแอบบนต้นไม้อย่างเดิมอีก และเมื่อปีศาจได้ตื่นขึ้นมาก็นำหญิงสาวเก็บลงไปในหีบและปิดเรียบร้อย แล้วก็แบกหีบใบนั้นขึ้นบนหัวและเดินลงไปในทะเลสาบนั้น
เมื่อสิ่งต่างๆที่ได้เกิดขึ้น ทำให้กษัตริย์ทั้งสององค์ประหลาดใจ ต่างก็กล่าวกันว่า เราทั้งสองเป็นกษัตริย์และก็คิดว่า พระชายาของเรานั้นบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม แต่กลับได้เห็นว่า พระชายาของเราทั้งสองได้ทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา และในตอนนี้ปีศาจที่มีอำนาจและพละกำลังมากกว่าเรา และเมื่อไหร่ที่ภรรยาของเขาได้มีโอกาส ก็จะทำสิ่งที่ไม่ดีเหมือนกับพระชายาของเราได้กระทำลงไป ผู้หญิงทั้งหมดเป็นแบบนี้หรือเปล่า ในโลกนี้จะมีผู้หญิงสักคนหนึ่งที่จะไว้ใจได้หรือเปล่า
และตอนนี้กษัตริย์ทั้งสององค์ก็ได้ตระหนักแล้วว่า ในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงสักคนที่จะไว้ใจได้ ผู้หญิงจะเป็นเหมือนกันหมดทุกคน ไม่มีใครที่จะเชื่อและไว้ใจภรรยาของตนเองหลังจากที่ได้ลับสายตาไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำให้กษัตริย์ทั้งสององค์รู้สึกเศร้าพระทัย และในที่สุดก็ได้ออกเดินทางกลับไปยังเมืองบูคาร่าและเมืองซามาร์คานด์
เมื่อกษัตริย์ชาห์ยาร์แห่งซามาร์คานด์ ได้เดินทางมาถึงเมืองของพระองค์ และในขณะนี้พระองค์ก็คิดว่า ไม่สามารถที่จะไว้ใจผู้หญิงได้สักคนเมื่อไม่อยู่ในสายตา แต่พระองค์ก็ยังต้องการพระชายาสักคนหนึ่ง และในที่สุดก็แก้ปัญหาที่อยู่ในใจได้ กษัตริย์ชาห์ยาร์จึงได้เรียกข้าหลวงใหญ่มาเข้าเฝ้า และออกคำสั่งให้ข้าหลวงใหญ่ไปหาผู้หญิงที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสามาให้เป็นพระชายาของพระองค์
จากนั้นข้าหลวงใหญ่ก็ได้ออกไปหาผู้หญิงตามที่กษัตริย์มีพระบัญชา และไม่นานนักก็หามาได้และนำกลับมาที่วัง กษัตริย์ชาห์ยาร์ก็รีบทำพิธีสมรสกันทันที และซึ่งกษัตริย์ก็ได้ใช้เวลากับพระชายาคนใหม่ทั้งคืน และในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อกษัตริย์ได้ตื่นขึ้นมาก็ได้เรียกทหารยามมานำตัวผู้หญิงออกไปตัดหัว
หลังจากที่พระองค์ทรงพอพระทัยในสิ่งที่ได้ทำไป ก็ได้เรียกข้าหลวงใหญ่มาเข้าเฝ้าอีก และออกคำสั่งให้ข้าหลวงใหญ่ไปหาผู้หญิงที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสามาให้เป็นพระชายาของพระองค์อีกหนึ่งคน และอีกครั้งหนึ่งที่ข้าหลวงใหญ่ก็ได้ออกไปหาผู้หญิงตามที่กษัตริย์มีบัญชา และนำกลับมาที่วัง และกษัตริย์ก็รีบทำพิธีสมรสกันทันที ซึ่งกษัตริย์ก็ได้ใช้เวลากับพระชายาคนใหม่ทั้งคืน และในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นกษัตริย์ได้ตื่นขึ้นมา ก็ได้เรียกทหารยามมานำตัวผู้หญิงออกไปตัดหัว
จากวันนั้นมากษัตริย์ชาห์ยาร์ ก็ได้ทำสิ่งที่พระองค์ต้องการเหมือนกันทุกๆคืน และในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นกษัตริย์ได้ตื่นขึ้นมา ก็ได้เรียกทหารยามมานำตัวผู้หญิงออกไปตัดหัว ซึ่งสิ่งที่กษัตริย์ได้ทำต่อๆกันเป็นเวลานานถึง 3 ปี และจากนั้นในเมืองนี้ก็เริ่มขาดแคลนผู้หญิงสาว
ถึงเวลานี้ข้าหลวงใหญ่ก็ไม่สามารถจะหาผู้หญิงมาถวายให้กษัตริย์ได้ แต่ตัวข้าหลวงเองก็ยังมีบุตรสาว 2 คน ซึ่งได้ถูกเก็บซ่อนไว้ในบ้าน และไม่อนุญาตให้บุตรสาวทั้งสองออกไปนอกบ้านและเล่นกับหญิงสาวคนอื่นๆ เพราะข้าหลวงเกรงว่ากษัตริย์อาจจะเห็นและต้องการสมรสกับบุตรสาวทั้ง 2 คน
เชเฮเรซาด เป็นบุตรสาวคนโตของข้าหลวง ซึ่งเป็นคนที่มีเสน่ห์สวยงาม และฉลาดหลักแหลม และก็ชอบอ่านหนังสือด้วย เชเฮเรซาดชอบเก็บรวบรวมหนังสือเป็นพันๆเล่ม และรู้ถึงคุณค่าของหนังสือทุกเล่ม หนังสือวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และดาราศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตามเชเฮเรซาดรู้สึกเศร้าใจ เพราะว่าเพื่อนๆของเธอหลายคนได้ถูกนำไปทำพิธีสมรส และถูกตัดหัวตามคำสั่งของกษัตริย์ฯ
ในที่สุดวันหนึ่ง เชเฮเรซาดก็ได้พูดกับบิดาว่า ฉันต้องการแต่งงานกับกษัตริย์ชาห์ยาร์ และจะเป็นพระชายาของกษัตริย์ บิดาของเธอก็ตอบว่า ไม่ได้ ลูกจะไม่ได้เป็นพระชายาของกษัตริย์ ถ้าลูกทำอย่างนั้น กษัตริย์ก็จะอยู่กับลูกแค่เพียงคืนเดียว และวันรุ่งขึ้นก็จะถูกนำไปตัดหัว พระบิดาได้โปรดเถิด ลูกทราบดี เชเฮเรซาดกล่าวว่า เพื่อนของลูกหลายคนได้เสียชีวิตไป แต่ลูกมีแผน พระบิดาได้โปรด ลูกขอร้อง อนุญาตให้ลูกได้แต่งงานกับกษัตริย์
ทุกๆวันข้าหลวงใหญ่ได้ปฏิเสธกับลูกสาวของเขา ไม่ให้แต่งงานกับกษัตริย์ แต่ทุกๆวันเชเฮเรซาด ก็ได้แต่ขออนุญาตกับบิดาซ้ำแล้วซ้ำอีกจะแต่งงานกับกษัตริย์ จนในที่สุดข้าหลวงใหญ่ก็อนุญาตให้ตามที่ลูกสาวขอ และนำตัวเชเฮเรซาดไปถวายกับกษัตริย์ชาห์ยาร์เพื่อทำพิธีสมรสด้วย
เมื่องานพิธีสมรสได้ผ่านไป เชเฮเรซาดได้ถูกนำตัวไปที่บนเตียงของกษัตริย์ และเชเฮเรซาดได้เตรียมถวายดอกไม้เป็นของขวัญให้กับกษัตริย์ และเมื่อกษัตริย์มาถึง เชเฮเรซาดได้พูดว่า พระสวามีของฉัน กษัตริย์ของฉัน ฉันทราบว่าคืนนี้พระองค์จะทำอะไรกับหม่อมฉัน และจะมีอะไรเกิดขึ้นในตอนรุ่งเช้า แต่ได้โปรด หม่อมฉันต้องการขออะไรสักหนึ่งอย่าง หม่อมฉันยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เมื่อหม่อมฉันถวายดอกไม้แล้ว ก็ต้องการให้นำตัวน้องสาวมาที่ห้องนี้ เพื่อที่จะได้เห็นหน้าน้องเป็นครั้งสุดท้าย และหม่อนฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
กษัตริย์ชาห์ยาร์ได้ฟัง ดูเหมือนว่าเป็นเหตุผลที่ดีและไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้น จึงยินยอมตามที่ขอ และพระองค์ก็ต้องการที่จะเห็นน้องสาวของเชเฮเรซาดว่ามีความสวยงามมากขนาดไหน กษัตริย์จึงได้อนุญาต และต่อมาดุนยาซาด ซึ่งเป็นน้องสาวของเชเฮเรซาด ก็ได้ถูกนำเข้ามายังห้องบรรทมเมื่อดุนยาซาดมาถึงห้องบรรทม ก็ได้นั่งลงและกล่าวกับเชเฮเรซาดว่า พี่สาวของฉัน ฉันมีความสุขมากที่ได้มาพบกับเธอในนาทีสุดท้าย ได้โปรดเล่าเรื่องให้ฟังสักหนึ่งเรื่อง ฉันอยากได้ยินเสียงของเธอ ใช่ ฉันจะเล่าเรื่องให้เธอฟัง ในขณะที่เชเฮเรซาดนั่งเล่าเรื่องอยู่นั้น กษัตริย์ก็ได้นั่งและฟังอยู่ด้วย
เชเฮเรซาดกล่าวว่า เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องที่สนุกที่เกิดขึ้นจริง และเชเฮเรซาดก็เริ่มเล่าเรื่องไปเพียงครึ่งเรื่อง และเชเฮเรซาดก็หยุดเล่า ดุนยาซาดก็กล่าวว่า มีอะไรเกิดขึ้น ได้โปรดเล่าเรื่องที่เหลือให้ฟังอีก เชเฮเรซาดตอบว่า ไม่ได้ ในคืนนี้ฉันจะไม่เล่าเรื่องส่วนที่เหลือ จงกลับบ้านไปหาบิดา และในคืนพรุ่งนี้ ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ และได้รับอนุญาตจากพระสวามี ฉันก็เล่าเรื่องของส่วนที่เหลือให้ฟัง และดุนยาซาดก็กลับไปที่บ้านของบิดา
ส่วนกษัตริย์ชาห์ยาร์ เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าที่สนุกสนานและต้องการที่ฟังส่วนที่เหลือด้วยความกระวนกระวายและตื่นเต้นของตอบจบ และในที่สุดก็ตัดสินใจอนุญาตให้เชเฮเรซาดมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งคืน เพื่อที่จะได้ฟังเชเฮเรซาดเล่าในตอนจบ และในคืนต่อมากษัตริย์ ก็ได้เรียกตัวดุนยาซาดน้องสาวของเชเฮเรซาดเข้ามาในห้องบรรทม เชเฮเรซาด ก็เริ่มเล่าตอนจบของส่วนที่เหลือให้ฟัง และแล้วในทันทีที่เชเฮเรซาดเล่าจบ เธอก็จะพูดกับน้องสาวว่า ฉันจะเล่าเรื่องใหม่ให้ฟังอีก และเชเฮเรซาดก็เริ่มเล่าเรื่องใหม่ให้ฟัง ซึ่งเรื่องใหม่นี้ มีความสนุกสนานมากกว่าเรื่องเก่าอีก
ส่วนกษัตริย์ชาห์ยาร์ ก็ได้ฟังเรื่องเล่าที่สนุกสนานของเซเฮเรซาดที่เล่าให้น้องสาวของเธอฟัง และอีกครั้งหนึ่งเซเฮเรซาดก็ไม่ยอมเล่าเรื่องในตอบจบให้ฟัง และบอกกับน้องสาวว่า จงกลับบ้านไปหาบิดา และกล่าวว่าในคืนพรุ่งนี้ ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ และได้รับอนุญาตจากพระสวามี ฉันก็เล่าเรื่องของส่วนที่เหลือให้ฟัง และดุนยาซาดก็กลับไปที่บ้านของบิดา ในที่สุดกษัตริย์ก็ตัดสินใจอนุญาตให้เชเฮเรซาดมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งคืนซึ่งในคืนต่อๆมาก็เป็นเช่นนี้ จนคืนแล้วคืนเล่าทุกๆคืน เซเฮเรซาดก็จะเล่าเรื่องของส่วนที่เหลือจนจบ และจะเริ่มเล่าเรื่องใหม่เพียงครึ่งเดียว และกล่าวว่าในคืนพรุ่งนี้ ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ และได้รับอนุญาตจากพระสวามี ฉันก็เล่าเรื่องของส่วนที่เหลือให้ฟัง และในที่สุดกษัตริย์ก็ตัดสินใจอนุญาตให้เชเฮเรซาดมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งคืน
เรื่องต่างๆได้ถูกเล่าจนกระทั่งเกือบจะครบ 3 ปี คือ เป็นเวลาทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งคืนพอดี และในที่สุดหลังจากคืนนั้นกษัตริย์ชาห์ยาร์แห่งซามาร์คานด์ ก็ได้สวรรคตลง ส่วนเรื่องทั้งหมดที่เซเฮเรซาดเล่าให้น้องสาวฟัง เมื่อน้องสาวกลับไปบ้านก็ได้ไปเขียนบันทึกเรื่องต่างๆไว้ทุกเรื่องตามที่พี่สาวของเธอเล่าให้ฟัง และตั้งแต่นั้นมาเรื่องเล่าต่างๆที่มีทั้งหมดเหล่านี้ ก็ได้รับการถ่ายทอดและบอกเล่า คัดลอกลงในหนังสือ ตีพิมพ์และแปลเป็นภาษาต่างๆ ของโลกเพื่อให้เด็กๆ ทุกคนได้อ่านกันจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เช่น อาลีบาบาฯ อะลัดดินกับตะเกียงวิเศษ ซินแบดผู้พิชิต ฯลฯ ส่วนดุนยาซาดที่เป็นน้องสาวของเซเฮเรซาด ต่อมาก็ได้สมรสกับกษัตริย์ ชาห์ ซามาน ซึ่งเป็นพระอนุชาของกษัตริย์ชาห์ยาร์แห่งซามาร์คานด์
www.anusha.com – True story of 1001 Arabian Nights
by Haji Ismail Sloan
โดย ประสม ปริปุณณานนท์ <[email protected]>