เที่ยวตุรกี (Turkey) ดินแดนสองทวีป ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินทั้งฝั่งเอเชียและยุโรป สถานที่ที่ขึ้นชื่อด้านเอกลักษณ์ และศิลปะที่น่าสนใจของศาสนาอิสลาม ประเทศเจ้าของสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และสิ่งก่อสร้างอลังการแปลกตา ที่ผสมผสานความเป็นยุโรป และอิสลามเข้าด้วยกันอย่างลงตัวเกินความคาดหมายเลยล่ะ ทริปนี้เราขอพาไปตะลุยสถานที่เด็ดๆของเตอร์กีซกันนนนน ถ้าพร้อมแล้ว เก็บกระเป๋าแล้วลุยเล้ยยยยยยยยยยย!!!!
1. สุเหร่าโซเฟีย, อิสตันบูล(Hagia Sophia, Istanbul)
ฮาเกีย โซเฟีย หรือ สุเหร่าโซเฟีย เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนา นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า ในปัจจุบันกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี จุดเด่นคือมีโดมขนาดใหญ่กลางวิหาร อายุ 1,500 กว่าปี ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง และยังเป็นสถานที่สำคัญของวงการศิลปะของโลกอีกด้วย โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ถึงสามครั้ง ครั้งแรกโบสถ์ใหญ่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 360 และโบสถ์รองถูกสร้างขึ้นภายหลังในปี ค.ศ. 415
ต่อมาในวันที่ 13 มกราคมปี ค.ศ. 532 หลังเกิดการจลาจลของประชาชนจึงทำให้โบสถ์ถูกทำลายอย่างหนัก ในประวัติศาสตร์ระบุไว้ในสถาบันอิสตันบูลว่า เพียงไม่นานโบสถ์ก็ได้เริ่มถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 532 และใช้เวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ โบสถ์แห่งนี้ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยฝีมือของสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอย่าง Isidoros (Milet) และ Anthemios (Tralles) ซึ่งมุมมองการออกแบบของพวกเขาทำให้รูปแบบของโบสถ์ ณ ปัจจุบันนี้ได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่ตอนนั้น
โดยโครงสร้าง การออกแบบของสถาปนิกทั้งสองนั้น พวกเขาได้ติดตั้ง เสา 104 คอลลัมม์ แบ่งเป็น 40 คอลลัมม์ ในชั้นล่าง และ 64 คอลลัมม์ ไว้ในชั้นของแกลลอรี่ โดมถูกออกแบบให้มีความสูงถึง 56 เมตร จากระดับพื้นดิน ปูพื้นด้วยหินปูนที่ถูกวาดสีสันลวดลายเป็นวงกลมอย่างงดงาม การตกแต่งภายในถูกแต่งเติมไปด้วยหินอ่อน ภาพของพระเยซู จอนห์ผู้ล้างบาป พระแม่มารี รวมถึงจักรพรรดิแห่งดินีโซและพระสวามี คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคุส ภาพเหล่านี้มีอายุเก่าแก่มากคาดว่าถูกทำขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่12 และทางเข้าโดมนั้นยังมีภาพโมเสคเทวทูตผู้พิทักษ์ 6 ปีกของพระเจ้าที่มีอายุกว่า 700 ปีประดับอยู่ 4 ตัว เขาว่ากันว่าเทวทูตเหล่านี้ถูกทำให้หลับใหลอยู่ในความมืดมากว่า 160 ปี หลังจากถูกปลดปล่อยเลยมีใบหน้าสว่างเมื่อพระอาทิตย์ในตอนกลางวันอยู่ตลอดเวลาจ้า
นอกจากนี้แล้วกลางห้องโถงของวิหารสุเหร่าโซเฟียยังเป็นที่ตั้งบัลลังก์เก่าจักรพรรดิอีกด้วย ซึ่งใกล้ๆ กับบัลลังก์นั้นจะมีเสาประดับอยู่ เชื่อว่าเป็นเสารักษาโรค สร้างขึ้นเพื่อรักษาอาการไมเกรนของท่านจักรพรรดินั่นเอง ภายหลังเมื่อสิ้นสุดสงครามโรมมัน ฟาติ สุลต่าน มูฮาเหม็ด ได้พิชิตเมืองมาได้ในปี ค.ศ. 1453 โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกปรังปรุงให้เป็นสถานที่ทำพิธีทางศาสนาของชาวอิสลาม ที่เรียกกันว่า “สุเหร่าโซเฟีย”
2. มัสยิดสีน้ำเงิน (Blue Mosque, Istanbul)
มัสยิดสีน้ำเงิน หรือ “บลูมอสก์” สถานที่สำคัญและโด่งดังระดับโลกของตุรกี ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1606 – 1615 แห่งยุคการปกครองของอาเหม็ดที่หนึ่ง ภายในอาคารจะมีชั้นใต้ดินคือส่วนหลุมฝังศพของผู้รวมก่อตั้งมัสยิดแห่งนี้ ส่วนพื้นที่โถงด้านในจะเป็นพื้นที่ให้การศึกษา และบ้านพักสำหรับผู้ป่วยที่ยากไร้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังสุดๆ อีกด้วยนะ
“มัสยิดสีน้ำเงิน” ชื่อนี้ถูกเรียกตามลักษณะของสถานที่แห่งนี้ โดยมีการตกแต่งออกแบบภายในด้วยกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในสีฟ้าสดใส เป็นลายดอกไม้ ทั้งอาคาร มีหอมินาเร็ตหรือหอสวดมนต์ 7 หอ การจัดวางพื้นที่ของอาคารต่างๆ ถูกจัดวางเป็นรูปตัวยูได้อย่างสวยงาม โดยลักษณะภายนอกสามารถมองเห็นได้จากสุเหร่าโซเฟีย เราจะเห็นมัสยิดสีขาวหินอ่อนที่ตั้งตระหง่าน ถูกยึดไว้ด้วยเสาคอลลัมม์ปลายยอดแหลมสูงเสียดฟ้านั้นดึงดูดสายตามากๆ เลยจ้า
มัสยิดแห่งนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ว่าก็จะมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น การแต่งกาย ซึ่งผู้ชายต้องแต่งตัวสำรวม ใส่กางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงจะต้องแต่งตัวสำรวมใส่กางเกง หรือกระโปรงยาว และจำเป็นต้องใส่ผ้าคลุมหัวที่ทางมัสยิดจะจัดไว้ให้ แล้วก่อนที่จะเข้าไปด้านใน จะต้องถอดรองเท้าฝากใส่ถุงไว้เช่นกันจ้า ภายในก็จะมีป้ายบอกว่าให้เราสำรวม ไม่ส่งเสียงดัง เพราะสถานที่นี้ยังเป็นพื้นที่ที่มีการทำกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาอยู่ทุกๆ วัน อย่างเช่น ที่นี่จะมีการจัดละหมาด 5 ครั้งต่อวัน รวมถึงช่วงพิธีรอมฎอน
3. เมืองคัปปาโดเชีย (Cappadocia)
เมืองคัปปาโดเชีย (Cappadocia) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว สถานที่ยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต่างแชร์รูปบอลลูนหลากสีที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าชวนให้อยากจะรีบจองตั๋วบินไปตุรกีกันเดี๋ยวนั้น
เช็คอินแรกกับกิจกรรมสุดฮิต ทัวร์บอลลูน ชมเมืองคัปปาโดเชีย เมื่อขึ้นไปบนบอลลูนแล้ว เราจะได้เห็นวิวเมืองคัปปาโดเซียโดยรอบ เมืองนี้มีเอกลักษณ์สุดๆเลยนะ ภูมิประเทศของเมืองนี้แปลกตามากกกกก พื้นที่ของเมืองคัปปาโดเชียจะเต็มไปด้วยแท่งหินปูนที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 3 ล้านปีก่อน แล้วลาวาเหล่านั้นก็ได้ก่อตัวเป็นชั้นแผ่นดินใหม่ โดนลม น้ำกัดเซาะ จนกลายเป็นรูปกรวยคว่ำ เป็นทรงคล้ายกับกระโจม โดม กระจายอยู่เต็มไปหมด จึงถูกขนานนามว่า “ดินแดนแห่งปล่องไฟนางฟ้า” และเราก็จะได้เห็นวิวมุมสูงของ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ ด้วยจ้า
เช็คอินที่สองนครใต้ดิน (Underground City) แห่งคัปปาโดเชีย เมื่อ 2-3 พันปีก่อนคริสตกาล มีกลุ่มคนที่เรียกว่า อัสซีเรีย ได้มายึดพื้นที่คัปปาโดเชียสร้างเป็นอาณาจักรของตัวเอง ต่อมาภายหลังเริ่มเข้าในช่วงคริสตกาลแล้ว ได้มีการบุกรุกของชาวโรมัน ทำให้ก่อเกิดสงครามขึ้นบนแผ่นดินของเมืองนี้ อัสซีเรีย หรือ ชาวคัปปาโดเชีย
ยุคแรกก็ได้มีการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไปกว่า 10 ชั้น สร้างเป็นเมืองใต้ดินเพื่อเป็นหลุมหลบภัย แต่สงครามครั้งนั้นกินระยะเวลายาวนานมาก พวกเขาทำการขุดเจาะไปเรื่อยๆ จนใต้พื้นดินคัปปาโดเชียกลายเป็นเมืองอีกหลายๆ เมือง แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่า เดอรินกูยู (Underground City of Derinkuyu) มีทั้งหมด 8 ชั้น ลึก 85 เมตร ภายในมีทั้ง โบสถ์คริสจักร โรงเรียนสอนศาสนา โรงเก็บไวน์ คอกไม้ และบ่อน้ำ ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้ขุดค้น
เช็คอินที่สาม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Göreme Open Air Museum) ซึ่งเกิดขึ้นจากการขุดเจาะถ้ำหินหลายลูก และสร้างเป็นโบสถ์ในยุคสมัยศตวรรษที่ 3 ถึง 8 ด้วยความต้องเผยแพร่ศาสนาคริสต์ค่ะ ภายในถ้ำจะถูกออกแบบให้ผนังสูง โค้ง ตกแต่งด้วยรูปปั้นจิตกรรมฝาผนัง ทาสีแดง ลักษณะแบบโบสถ์เซนต์บาร์บารา ส่วนของกำแพงโบสถ์นั้นก็จะถูกเจาะตามรูปทางเรขาคณิต
4. ปามุคคาเล่ (Pamukkale)
ปามุคคาเล่ หรือ ปราสาทปุยฝ้าย สถานที่ท่องเที่ยวขั้นสุดยอดของตุรกี ตั้งอยู่ในเมืองเดนิซลี “เมืองแห่งสปา” นั่นเองจ้า ที่นี่ถูกค้นพบโดยชาวโรมันหลายพันปีมาแล้ว เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงมากในหมู่นักท่องเที่ยว รวมถึงชาวตุรกีด้วย ปามุคคาเล่เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ เกิดจากความดันความร้อนใต้พื้นดินที่ 35- 36 องศาเซลเซียส จึงให้เกิดการประทุน้ำมีแคลเซียมไฮดรอกไซคาร์บอเนตออกมา รวมถึงพื้นที่ส่วนนี้มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกอยู่บ่อยครั้งจึงก่อให้เป็นแหล่งบ่อน้ำพุร้อนจำนวนมาก เมื่อบ่อน้ำพุร้อนหลายบ่อรวมตัวกัน ทำให้มีการก่อตัวของแร่ธาตุขนาดใหญ่
ว่ากันว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้มีอายุมากว่า 14,000 ปี ทำให้ตะกอนที่ไหลฝั่งตัวทับรวมกันจนเป็นตะไคร่น้ำสีขาว และกลายเป็นปราสาทปุยฝ้ายแบบนี้นั่นเองจ้า ส่วนน้ำสีฟ้าใสเหมือนแสงตกกระทบกับกระเบื้องหินอ่อนนั้นเกิดจากน้ำร้อนที่ได้สัมผัสกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และศูนย์เสียความร้อน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ได้สัมผัสกับอากาศ นั่นเลยทำให้แคลเซียมคาร์บอเนตตกตะกอน พื้นน้ำในบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้จึงมีสีฟ้าสวยสด
5. พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace)
พระราชวังทอปกาปี หรือที่รู้จักกันในชื่อวังสุลต่าน เป็นอีกหนึ่งเเลนด์มาร์คของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นโดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed the Conqueror) ใช้เป็นที่ประทับของสุลต่านหลายพระองค์ต่อกันมาหลายศตวรรษ โดยมีทั้งหมด 3 ส่วนคือ พระราชวังชั้นนอก เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่น น่าเดินเล่นมากๆ เลยนะ มีอาคารสไตล์ตุรกีดั้งเดิมที่ยังคงสภาพเดิมไว้อย่างดีสุดๆ ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการและต้อนรับแขกคนสำคัญของเมืองจ้า
ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปีกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสำหรับจัดแสดงสมบัติอันล้ำค่าของสุลต่านองค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โบราณวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ อาวุธในสมัยออตโตมันน์ เช่น ดาบ ปืน ธนู กระบี่ ขวาน ชุดเกราะ และเครื่องราชบรรณาการจากทั่วโลก รวมถึงเครื่องกระเบื้องของจีนกับญี่ปุ่นกว่า 12,000 ชิ้น โดยเครื่องถ้วยชามอันโด่งดังของจีน เรียกว่า เซลาดอน (Celadon) โดยสุลต่านจะให้ใส่อาหารลงไป ถ้ามียาพิษเจือปน เครื่องถ้วยนี้จะมีน้ำออกมาและเปลี่ยนสีนั่นเองด้วย!!! ล้ำมากกก!!!
6. ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar)
ตลาดแกรนด์บาซาร์ เป็นตลาดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก! ก่อสร้างขึ้นมานานกว่า 1,500 ปี ถือว่าเป็นตลาดที่โด่งดังที่สุดในตุรกี มีนักท่องเที่ยวมาเดินช้อปปิ้งวันละ 2- 4 แสนคน และในปี ค.ศ. 2014 ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากที่สุดในโลก โดยมากถึง 91 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียวค่า ฮอตมากกก เต็มไปด้วยร้านค้ากว่า 5,000 ร้าน ถนน 65 เส้น มีจำนวนพนักงานหรือคนขายกว่า 26,000 คน นอกจากจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่แล้ว ยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมในอดีต มีมัสยิด ลานน้ำพุ ฮามัม มหาวิทยาลัยอิสตันบูล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก
ใครมาที่นี่รับรองว่าต้องเสียเงินแน่ๆ จ้า เพราะมีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลาย ทั้งเครื่องเงิน ไข่มุก เครื่องปั้นดินเผา เสื้อผ้า ผ้าไหม นาฬิกา รองเท้า ของโบราณต่างๆ ของตกแต่งบ้าน สินค้าชื่อดังของที่นี่จะเป็นทองคำ ที่ออกแบบได้สวยงาม และขายได้มากถึงปีละ 100 ตัน เจ้าของร้านบางคนยังจ่ายค่าเช่าเป็นทองคำเลย เดินเหนื่อยๆ ก็มีร้านร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ ให้นั่งพักผ่อน ตลาดจะเปิดทุกวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 08.30 – 19.00 น. ปิดวันอาทิตย์นะจ๊ะ
7. ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut)
ภูเขาเนมรุต อยู่ใกล้กับเมือง อาดึยามัน (Adiyaman) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี มีความสูง 2,134 เมตร เป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) และยังได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกอีกด้วย
สร้างขึ้นโดยกษัตริย์แอนทิโอคัสที่ 1 (Antiochos I) ซึ่งสุสานบนยอดเขาแบบนี้เป็นที่นิยมมากในอารยธรรมยุคโบราณ มีการแกะสลักรูปปั้นหินขนาดใหญ่กระจายอยู่เต็มยอดเขา มีรูปปั้นศีรษะคนแทนบุคคลสำคัญต่างๆ รูปปั้นบูชาเทพเจ้ากรีก เช่น เทพเจ้าซุส เทพเฮอร์คิวลิส รวมถึงสิงโต และนกอินทรีย์ซึ่งถือเป็นองครักษ์ผู้คุ้มครองสุสานแห่งนี้ด้วย ขอบอกว่าขนาดของรูปปั้น มีความสูงถึง 10 เมตร แต่เวลาผ่านไปหัวของรูปปั้นก็ร่วงลงมา จึงจับมาวางเรียงกันเป็นแถว
8. เมืองโบราณเอฟิซัส (Ephesus)
เอฟิซัสเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ที่มีมาประมาณ 100 ปีก่อนยุคคริสตกาล ตั้งอยู่ในมหานครอิซเมียร์ (Izmir) ได้สถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของโรมันและถูกขนานนามว่า เป็นมหานครแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย! เป็นศูนย์กลางการค้าและการเงิน เรียกได้ว่าร่ำรวยสุดๆ ถนนทุกสายปูด้วยหินอ่อน ~
ข้าศึกจะบุกเข้าโจมตีตัวเมืองได้ยากมาก เพราะมีภูเขาขนาบสองข้าง ล้อมด้วยทะเล และมีทางเข้าแค่ทางเดียวเท่านั้น แต่ก็ถูกทำลายลงโดยแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 614 ทำให้ชาวเมืองต้องหนีอพยพจนกลายเป็นเมืองร้างไป ปัจจุบันก็ยังเหลือร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ซึ่งถือเป็นเมืองโบราณที่สวยและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยทีเดียวจ้าภายในเมืองนั้นมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น
ห้องสมุดเซลซุส สุดยอดงานสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะแบบเฮลเลนนิสติก (Hellenistic) ยิ่งใหญ่และสวยงามมากก ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซัส (Ephesus) ซึ่งเป็นเมืองที่รุ่งเรือง และมั่งคั่งที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิโรมันและเขตเอเชียด้วยจ้า
ห้องสมุดเซสซุสเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองเอฟิซัสเลยก็ว่าได้ สร้างขึ้นโดยลูกชายของเซลซัส โพเลเมียนุส (Celsus Polemaeanus) ผู้ปกครองแคว้นเอเชียไมเนอร์ของโรมัน ที่ต้องการสร้างอนุสาวรีย์ให้พ่อของเขา แต่เปลี่ยนใจมาสร้างห้องสมุดให้แทน และได้ฝังโลงศพของบิดาที่ทำจากหินเอาไว้ใต้หอสมุดแห่งนี้ โดยมีทางเข้าทั้งหมด 3 ทาง หน้าประตูทางเข้ามีรูปแกะสลักเทพีอยู่ 4 องค์ ได้แก่ เทพีแห่งปัญญา (Sophia), เทพีแห่งคุณธรรม (Arete), เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด (Ennoia) และเทพีแห่งความรู้ (Episteme)
ซึ่งนับว่าเป็นห้องสมุดใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก! ถึงจะเคยถูกเผาโดยชาวกอธ (Goth) และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เอกสารต่างๆ และอาคารบางส่วนถูกทำลาย ปัจจุบันเหลือแค่เฉพาะด้านหน้าของอาคาร แต่ก็ยังคงความงดงามที่ใครเห็นแล้วก็ต้องร้องว้าวกับความอลังการของห้องสมุดแห่งนี้แน่นอนจ้า
และนอกจากห้องสมุดเซลซุสแล้ว ที่นี่ยังมีสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งอีกมากมาย ทั้งโรงละครกลางแจ้งเอฟิซัส ที่จุคนได้ถึง 30,000 คน, มหาวิหารแห่งอาร์เทมิส (Temple of Artemis) หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ, โรงอาบน้ำสกอลัสติเซีย (Bath of Scholasticia), โบสถ์เอเฟซุส (Church of Ephesus), โบสถ์นักบุญเซนต์จอห์น (Basitica of St.Jhon), ท่าเรือยิมเนเซียม (Harbor Gymnasium) เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างเป็นศิลปะแบบเฮลเลนนิสติก (Hellenistic) ที่ประณีตและงดงาม เดินชมเดินถ่ายรูปกันได้แบบไม่มีเบื่อ รู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในยุคกรีกโบราณเลยล่ะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเอฟิซัสจึงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของตุรกี