อัพเดท 2025 กับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวในโมรอคโค

ที่เที่ยวโมรอคโค

เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวในโมรอคโคในปี 2025 นับว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมโบราณ อาหารการกิน รวมไปถึงประสบการณ์ทางทะเลทรายที่หาไม่ได้จากที่ไหน 

ซึ่งวันนี้เองนั้นทาง GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยวจะพาผู้ที่สนใจที่จะท่องเที่ยวโมรอคโค ได้รู้จักเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปี 2025 ที่เราจะมาต่อยอดจากบทความที่แล้วกัน ซึ่งเราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ กันแบบละเอียดมากยิ่งขึ้นให้กับทุก ๆ ท่านกันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น มาร์ราเกช (Marrakech), ทะเลทรายซาฮารา (Sahara Desert), เชฟชาอูน (Chefchaouen, เฟส (Fes), คาซาบลังกา (Casablanca), เมอร์ซูก้า (Merzouga), โอวาร์ซาเซต (Ouarzazate), อิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou), เมคเนส (Meknes), แอสซาวีรา (Essaouira) ฯลฯ เป็นต้น ฉะนั้นแล้วอย่างรอช้า เราไปรับชมกันได้เลย

บทความที่เกี่ยวข้อง : แนะนำ 10 ที่เที่ยวโมรอคโค และ 7 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนไป 2025

1.มาร์ราเกช (Marrakech) เมืองเก่าที่มีสีสันและชีวิตชีวา เต็มไปด้วยตลาดสไตล์มุสลิม สวนสาธารณะ และพระราชวัง

Marrakech

เมื่อคุณก้าวเท้าเข้าสู่มาร์ราเกช เมืองเก่าที่ตั้งอยู่ในตอนกลางของโมรอคโค คุณจะรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยสีสันและเสียงสะท้อนของชีวิต เมืองนี้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือนเมื่อเดินทางมาโมรอคโค เพราะที่นี่คือการผสมผสานของวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และชีวิตประจำวันของชาวโมรอคโคที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ตลาดซุค (The Souks)ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

หนึ่งในจุดเด่นของมาร์ราเกชคือ ตลาดซุค (Souk) ตลาดสไตล์มุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโมรอคโค ที่นี่คุณจะพบกับร้านค้าที่ขายสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่พรมทอมือ เครื่องเทศหอมกรุ่น ไปจนถึงเครื่องประดับและเสื้อผ้าท้องถิ่น สีสันของผ้าพันคอและกลิ่นหอมของเครื่องเทศทำให้การเดินตลาดที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร การต่อรองราคาก็เป็นศิลปะที่นักท่องเที่ยวควรลอง เพราะที่นี่การต่อรองเป็นธรรมเนียมที่สนุกสนานและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่น

สวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยความสงบ

แม้จะเป็นเมืองที่มีความวุ่นวาย แต่คุณยังสามารถพบกับสถานที่ที่เงียบสงบและสวยงามได้ที่ สวนมาเจอเรลล์ (Jardin Majorelle) สวนที่ออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Jacques Majorelle ในปี 1923 สวนนี้เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากหลายชนิดที่ให้ความรู้สึกสดชื่น ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสีฟ้าและเหลืองที่สดใส ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและถ่ายรูปสวยๆ ก่อนจะกลับไปตะลุยตลาดหรือพระราชวังอีกครั้ง

พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace)

การเดินทางไปมาร์ราเกชคงไม่สมบูรณ์หากคุณไม่ได้เยี่ยมชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) ที่นี่เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโมรอคโคที่งดงาม พระราชวังนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 มีสวนสวยงามล้อมรอบ ตัวอาคารภายในประดับด้วยกระเบื้องโมเสกหลากสีและงานแกะสลักที่ประณีต สถานที่นี้ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในยุคอดีตที่หรูหราและงดงาม

จตุรัสเจมา เอล ฟนา (Jemaa el-Fnaa)

เมื่อคุณมาเยือนมาร์ราเกช อีกหนึ่งไฮไลท์ที่คุณไม่ควรพลาดคือ จตุรัสเจมา เอล ฟนา (Jemaa el-Fnaa) ซึ่งเป็นหัวใจของเมืองเก่านี้ ในช่วงกลางวัน คุณจะเห็นร้านค้าและร้านอาหารที่เปิดให้บริการพร้อมกับนักแสดงข้างถนน เช่น นักดนตรี คนนักมายากล หรือแม้แต่นักเล่านิทาน ในตอนกลางคืน จตุรัสนี้จะคึกคักไปด้วยร้านอาหารข้างทางที่ขายอาหารโมรอคโคแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นทาจีน หรือเคบับ ที่นี่คือที่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพบปะสังสรรค์อย่างแท้จริง

 

2.ทะเลทรายซาฮารา (Sahara Desert) สัมผัสประสบการณ์ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตกและพักค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทราย

Sahara Desert

การเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮาราในโมรอคโคถือเป็นการผจญภัยที่ยากจะลืมเลือนได้อย่างแน่นอน ทะเลทรายซาฮาราไม่เพียงแต่เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความงดงามและความสงบเงียบ ที่ซึ่งคุณสามารถหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน และดื่มด่ำกับความเงียบสงบของธรรมชาติอันกว้างใหญ่ได้แบบเต็มที่

เป็นจุดเริ่มต้นของผจญภัยกับการขี่อูฐ

เมื่อคุณมาถึงจุดเริ่มต้นของทะเลทราย ประสบการณ์แรกที่จะสร้างความตื่นเต้นให้คุณคือการ ขี่อูฐ การขี่อูฐในทะเลทรายซาฮาราไม่เหมือนกับการขี่ม้าหรือยานพาหนะอื่น ๆ มันคือการค่อย ๆ ลัดเลาะไปตามเนินทรายสูงต่ำในแบบที่ช้าและนุ่มนวล ความเคลื่อนไหวของอูฐที่โยกย้ายอย่างช้า ๆ ทำให้คุณได้สัมผัสถึงการเดินทางที่เรียบง่ายเหมือนกับชนพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตในทะเลทรายมานับศตวรรษ

ท้องฟ้าในทะเลทรายซาฮารามีความกว้างใหญ่แบบไร้ขอบเขต ขณะที่คุณขี่อูฐไปตามเส้นทางเนินทราย คุณจะเริ่มเห็น พระอาทิตย์ตกดิน ที่ค่อย ๆ ทอแสงสีทองอร่ามกระทบกับทรายราวกับเป็นพรมผืนใหญ่ สีสันที่เปลี่ยนไปตามเวลาทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ พระอาทิตย์ตกในทะเลทรายซาฮาราคือภาพที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ต้องสัมผัสด้วยตาตัวเองเท่านั้น

การพักค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทราย

เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและความมืดเข้าปกคลุม คุณจะมาถึง แคมป์กลางทะเลทราย ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับนักเดินทางอย่างดี แคมป์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินทรายกว้างใหญ่ให้ความรู้สึกที่สงบและเป็นธรรมชาติ คุณสามารถพักผ่อนในเต็นท์ที่ตกแต่งแบบโมรอคโค ที่เต็มไปด้วยสีสันและลวดลายสวยงาม

ในยามค่ำคืน คุณจะได้สัมผัสกับความเงียบสงบของทะเลทราย ฟังเสียงลมพัดเบา ๆ เมื่อมองขึ้นไปที่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวระยิบระยับอย่างชัดเจน ท้องฟ้าในทะเลทรายซาฮารามืดสนิทจนคุณสามารถเห็นทางช้างเผือกและกลุ่มดาวต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน เป็นภาพที่หาดูได้ยากจากที่อื่นในโลก

อาหารท้องถิ่นและการแสดงดนตรีรอบกองไฟ

การนั่งล้อมวงรอบกองไฟในยามค่ำคืนในทะเลทรายคือหนึ่งในประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น คุณจะได้ลิ้มรส อาหารท้องถิ่นโมรอคโค ที่ปรุงสด ๆ ในแคมป์ เช่น ทาจีนหรือคูสคูส ที่หอมกรุ่นด้วยเครื่องเทศแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมี ดนตรีพื้นเมือง ที่ชาวโมรอคโคจะเล่นด้วยกลองและเครื่องดนตรีพื้นบ้าน การเต้นรำและร้องเพลงรอบกองไฟเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานและความทรงจำที่ไม่ลืม

ตื่นเช้ามาพบกับพระอาทิตย์ขึ้น

เช้าของทะเลทรายซาฮารานั้นเงียบสงบและน่าทึ่งไม่แพ้กับพระอาทิตย์ตก เมื่อคุณตื่นมาในแคมป์ คุณจะได้เห็น พระอาทิตย์ขึ้น ที่ค่อยๆ สาดแสงเหนือเส้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์แรกที่แต่งแต้มท้องฟ้าจะเปลี่ยนทะเลทรายที่เคยเงียบสงบให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ความเงียบสงบของช่วงเวลานั้นทำให้คุณรู้สึกเชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง

 

3.เชฟชาอูน (Chefchaouen) เมืองสีฟ้าอันเงียบสงบที่เต็มไปด้วยอาคารที่ทาสีฟ้าสดใส

Chefchaouen

เมื่อเอ่ยถึงเมือง เชฟชาอูน หลายคนอาจจะจินตนาการถึงเมืองเล็กๆ ที่ดูราวกับภาพวาดในเทพนิยาย ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสีฟ้าสดใสที่ทอดยาวไปตามตรอกซอกซอยแคบๆ เชฟชาอูน หรือที่เรียกกันว่า “เมืองสีฟ้า” ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโมรอคโคในหุบเขาริฟ (Rif Mountains) ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสวรรค์สำหรับผู้ชื่นชอบการถ่ายรูป แต่ยังเป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนหลงรักในความสงบและเสน่ห์เฉพาะตัว

เรื่องราวของสีฟ้า ทำไมเมืองนี้ถึงถูกทาด้วยสีฟ้า?

คำถามแรกที่หลายคนมักถามเมื่อมาถึงเชฟชาอูนคือ “ทำไมทุกอย่างถึงเป็นสีฟ้า?” เรื่องนี้มีหลายทฤษฎี บางคนบอกว่าสีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของท้องฟ้าและสายน้ำ ซึ่งในอดีตชาวเมืองต้องการสร้างบรรยากาศที่สงบเงียบและเย็นสบาย อีกทฤษฎีหนึ่งคือ สีฟ้านี้ถูกทาขึ้นโดยชาวยิวที่อพยพเข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นการเตือนถึงความเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สีฟ้านี้ก็กลายเป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาที่นี่

การเดินหลงในตรอกซอยของเมืองสีฟ้า

เมื่อคุณก้าวเข้าสู่เมืองเก่าของเชฟชาอูน คุณจะรู้สึกราวกับได้หลงเข้ามาในโลกที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีฟ้า ทุกอาคาร ผนัง ประตู และหน้าต่าง ล้วนทาด้วยสีฟ้าที่สว่างสดใส ตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปมาเสมือนเป็นเขาวงกตที่เชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวเดินสำรวจ แต่การหลงในที่นี่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย กลับเป็นการเดินทางที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยความสุข คุณอาจจะพบเจอร้านขายสินค้าพื้นเมือง เครื่องปั้นดินเผา หรือแม้กระทั่งคาเฟ่น่ารักๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของเมือง

วัฒนธรรมและบรรยากาศที่สงบเงียบ

เชฟชาอูนไม่ใช่เมืองที่มีความวุ่นวายหรือเต็มไปด้วยเสียงดัง ที่นี่เป็นเมืองที่มีบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย นักท่องเที่ยวที่มามักจะได้พบกับความเรียบง่ายของชีวิตชาวเมือง ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมและความเป็นมิตรอย่างเหนียวแน่น การนั่งจิบชามินต์ (Mint Tea) ในร้านกาแฟท้องถิ่นพร้อมกับชมวิวของเทือกเขาริฟที่ล้อมรอบเมืองเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืม

น้ำตก Ras El Maa: สายน้ำแห่งความสดชื่น

หากคุณต้องการหลบจากความร้อนในเมือง เชฟชาอูนก็ยังมีสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่าง น้ำตก Ras El Maa น้ำตกเล็กๆ ที่ไหลมาจากภูเขาให้ความรู้สึกสดชื่นและสงบ ที่นี่ชาวเมืองมักจะมาซักผ้าและทำกิจกรรมต่างๆ น้ำเย็นสดชื่นเป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและผ่อนคลายหลังจากเดินสำรวจเมือง

อาหารท้องถิ่นที่ต้องลอง

การมาเที่ยวเชฟชาอูนจะไม่สมบูรณ์หากคุณไม่ได้ลองอาหารท้องถิ่นที่นี่ อาหารโมรอคโคเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของรสชาติที่เข้มข้นและเครื่องเทศหอมกรุ่น คุณควรลอง ทาจีน (Tagine) ซึ่งเป็นอาหารที่ปรุงในหม้อดิน หรือ คูสคูส (Couscous) ที่อร่อยและอิ่มท้อง ร้านอาหารในเมืองนี้มักจะมีบรรยากาศเรียบง่ายและมองเห็นวิวเมืองสีฟ้า ทำให้มื้ออาหารของคุณเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ

เสน่ห์ของการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

เชฟชาอูนตั้งอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่งดงาม นอกจากการเดินสำรวจเมืองสีฟ้าแล้ว คุณยังสามารถออกไปสำรวจธรรมชาติรอบๆ ได้เช่นกัน การเดินเขาไปยังยอดเขาที่มองเห็นวิวพาโนรามาของเมืองสีฟ้าจากมุมสูงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น หากคุณเป็นคนรักธรรมชาติ ที่นี่ก็มีเส้นทางเดินป่าที่น่าท้าทายหลายเส้นทาง

4.เฟส (Fes) เมืองเก่าแห่งประวัติศาสตร์ที่งดงาม

Fes

เมื่อคุณเดินทางมาถึงเมือง เฟส (Fes) ในโมรอคโค คุณจะรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในยุคโบราณ เฟสไม่ใช่เพียงแค่เมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่ยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ที่นี่เป็นที่ตั้งของ เมดิน่า (Medina) หรือเมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เป็นเมืองที่คงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมดั้งเดิมและวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ นั่นทำให้เฟสเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการเดินทางย้อนเวลาและสำรวจความงดงามของประวัติศาสตร์

การหลงในเขาวงกตแห่งเมดิน่า

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้การมาเยือนเฟสเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ คือการได้เดินสำรวจ เฟส เอล บาลี (Fes el Bali) เมืองเก่าที่เป็นเหมือนเขาวงกตที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยกว่า 9,000 เส้นทาง แต่ละซอยแคบๆ นั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านค้าและตลาดที่ขายของท้องถิ่นตั้งเรียงรายตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั้นดินเผา งานหัตถกรรม เครื่องเทศหอมกรุ่น หรือเครื่องหนังที่ทำมือ คุณจะพบว่าการ “หลง” ในเมดิน่าเป็นการผจญภัยที่สนุกสนาน เพราะทุกซอยที่คุณเดินผ่านจะมีความงดงามที่รอการค้นพบ

ตลาดโบราณที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ในเมดิน่าของเฟส คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของ ตลาดโบราณ (Souks) ที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตดั้งเดิม ตลาดที่นี่ไม่ได้เพียงแค่ขายของให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของชาวเมือง คุณจะเห็นชาวบ้านมาเลือกซื้อวัตถุดิบสดๆ สำหรับทำอาหาร ที่นี่เต็มไปด้วยสินค้าเครื่องเทศ เช่น อบเชย กระวาน และยี่หร่าที่หอมกรุ่น นอกจากนี้ยังมีพรมทอมือและงานฝีมือที่วิจิตรบรรจงที่บ่งบอกถึงศิลปะของชาวโมรอคโคและอาหรับ การเดินผ่านตลาดเป็นการสัมผัสกลิ่นอายของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ

สถาปัตยกรรมอันวิจิตรของเฟส

เฟสไม่เพียงแค่มีตลาดที่น่าตื่นตา แต่ยังมี สถาปัตยกรรมอันงดงาม ที่สะท้อนถึงศิลปะอิสลามที่วิจิตรที่สุดในโมรอคโค หนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดคือ มหาวิทยาลัยอัลกาวีน (Al Quaraouiyine) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังคงเปิดสอนมาจนถึงปัจจุบัน สถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยนี้มีการตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกและงานแกะสลักที่ประณีตมาก นอกจากนี้ยังมี มัสยิด Bou Inania ที่ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของศิลปะโมรอคโค คุณจะเห็นลวดลายแกะสลักและกระเบื้องสีสันสดใสที่ประดับทั่วทั้งอาคาร

การฟอกหนังที่โด่งดังของเฟส

อีกหนึ่งสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาดคือ ชาวาร่า (Chouara Tannery) แหล่งฟอกหนังที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเฟส การฟอกหนังในเฟสยังคงใช้วิธีการดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี ที่นี่เป็นที่ที่คุณจะได้เห็นการฟอกหนังแบบมืออาชีพ โดยหนังสัตว์จะถูกแช่และย้อมในบ่อขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย มันเป็นภาพที่ทั้งน่าทึ่งและแสดงถึงทักษะที่ช่างฝีมือในเฟสมีมานานนับศตวรรษ

อาหารพื้นเมืองที่คุณต้องลอง

หลังจากเดินชมเมืองเก่าจนเหนื่อย คุณไม่ควรพลาดที่จะลอง อาหารโมรอคโคพื้นเมือง ในเฟส ไม่ว่าจะเป็น ทาจีน (Tagine) ซึ่งเป็นอาหารที่ปรุงในหม้อดินแบบดั้งเดิม หรือ คูสคูส (Couscous) ที่เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อสัตว์และผัก รสชาติของอาหารโมรอคโคเข้มข้นและเต็มไปด้วยเครื่องเทศที่ซับซ้อน อีกเมนูหนึ่งที่แนะนำคือ บาสติลล่า (Bastilla) พายไก่ที่กรอบนอกนุ่มใน ซึ่งผสมผสานรสชาติหวานและเค็มอย่างลงตัว

บรรยากาศยามค่ำคืนของเฟส

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เมืองเฟสก็ยังคงมีชีวิตชีวาอยู่ ตลาดกลางคืนเปิดไฟสว่างไสว และนักท่องเที่ยวสามารถเดินสำรวจเมืองเก่าได้ในบรรยากาศที่โรแมนติก ชาวเมืองยังคงใช้ชีวิตประจำวันไปกับการนั่งสนทนาที่ร้านน้ำชา และดื่มชาเขียวมินต์ที่หอมหวาน การได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศเหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกถึงความเป็นชุมชนที่อบอุ่นและน่าประทับใจ

5.คาซาบลังกา (Casablanca) เมืองใหญ่ที่มีมัสยิดฮัสซันที่สอง (Hassan II Mosque) เป็นไฮไลท์สำคัญ

Casablanca

เมื่อพูดถึงโมรอคโค หลายคนอาจจะนึกถึงเมืองเก่าๆ อย่างมาร์ราเกชหรือเฟส แต่ถ้าคุณต้องการสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเก่าแก่และความทันสมัย คาซาบลังกา (Casablanca) คือคำตอบ! คาซาบลังกาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของโมรอคโค เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้า นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า

มัสยิดฮัสซันที่สอง (Hassan II Mosque) ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด

แม้คาซาบลังกาจะเป็นเมืองที่ใหญ่และทันสมัย แต่นักท่องเที่ยวทุกคนล้วนไม่พลาดที่จะมาเยือน มัสยิดฮัสซันที่สอง (Hassan II Mosque) มัสยิดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก และถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้ ความยิ่งใหญ่และงดงามของมัสยิดแห่งนี้ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำพูดเท่านั้น ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง!

มัสยิดนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปีของกษัตริย์ฮัสซันที่สอง ตัวมัสยิดตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ที่ยื่นออกไปยังทะเล ทำให้ดูเหมือนว่าสร้างขึ้นบนผิวน้ำ ตัวอาคารหลักถูกออกแบบอย่างประณีตด้วยสถาปัตยกรรมโมรอคโคดั้งเดิม ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น หลังคาที่สามารถเปิดปิดได้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีสามารถมองเห็นท้องฟ้าในขณะประกอบพิธีทางศาสนา

เมื่อคุณก้าวเข้าสู่มัสยิด ความรู้สึกแรกที่คุณจะได้รับคือความยิ่งใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยกระเบื้องโมเสกที่ประดับประดาอย่างสวยงาม งานแกะสลักไม้และหินที่ประณีต รวมถึงโคมไฟระย้าที่ส่องแสงระยิบระยับ มัสยิดนี้สามารถรองรับผู้คนได้มากถึง 25,000 คนภายในอาคาร และอีก 80,000 คนที่ลานด้านนอก! ท้องทะเลที่ทอดยาวเป็นฉากหลังทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่งดงามยามพระอาทิตย์ตก

คาซาบลังกา ความทันสมัยที่ผสมผสานกับประวัติศาสตร์

คาซาบลังกาไม่ใช่แค่เมืองที่มีมัสยิดใหญ่โต แต่ยังเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่น่าสนใจ ที่นี่เป็นจุดผสมผสานของโมรอคโคดั้งเดิมและความเป็นเมืองใหญ่สมัยใหม่ คุณจะเห็นตึกสูงที่ตัดกับอาคารสไตล์อาหรับโบราณ และถนนที่คึกคักไปด้วยรถราและผู้คนที่เร่งรีบ ในย่านการค้าที่มีทั้งห้างสรรพสินค้าและตลาดท้องถิ่นที่ขายสินค้าหลากหลายตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชั่นไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น

การเดินเที่ยวในย่านลาเมดินาเก่า (Old Medina)

ถึงแม้ว่าคาซาบลังกาจะทันสมัยมาก แต่ก็ยังมีมุมเก่าแก่ที่น่าหลงใหลอย่าง ลาเมดินาเก่า (Old Medina) ที่นี่เป็นย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยและตลาดสดที่ขายสินค้าทุกอย่างจากของฝากไปจนถึงอาหารพื้นเมือง การเดินหลงในลาเมดินาเหมือนกับการเดินย้อนกลับไปในอดีต คุณจะพบกับผู้ขายผลไม้สด เครื่องเทศ และงานฝีมือที่บ่งบอกถึงความเป็นโมรอคโคแท้ๆ

อิทธิพลของภาพยนตร์ในตำนาน

หากพูดถึงคาซาบลังกา ชื่อของเมืองนี้ยังเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดในตำนานอย่าง “Casablanca” แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะถ่ายทำที่อื่น แต่ชื่อของเมืองนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโรแมนติกและการผจญภัย ร้านอาหารและคาเฟ่หลายแห่งในเมืองก็ได้นำแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้มาใช้ในการตกแต่งและสร้างบรรยากาศ โดยเฉพาะ Rick’s Café ซึ่งเป็นคาเฟ่ที่ตั้งชื่อตามตัวละครในภาพยนตร์ สถานที่นี้กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับแฟนๆ ของหนังที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกแบบในภาพยนตร์

การเดินทางไปชายหาดในคาซาบลังกา

คาซาบลังกายังมีชายหาดที่สวยงามอีกด้วย การเดินเล่นตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นกิจกรรมที่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวนิยมทำ ชายหาด Ain Diab เป็นจุดที่นิยมมากที่สุด ซึ่งเหมาะสำหรับการพักผ่อน การเล่นเซิร์ฟ หรือแค่นั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ความเย็นสบายของลมทะเลและบรรยากาศชิลๆ ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่เหมาะสำหรับการผ่อนคลายหลังจากการสำรวจเมือง

 

6.เมอร์ซูก้า (Merzouga) ประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา

Merzouga

หากคุณกำลังมองหาสถานที่สำหรับการผจญภัยในทะเลทรายที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและเสน่ห์ของธรรมชาติ เมอร์ซูก้า (Merzouga) คือจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบ เมอร์ซูก้าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโมรอคโค และอยู่ใกล้กับเนินทราย Erg Chebbi ซึ่งเป็นหนึ่งในเนินทรายที่งดงามที่สุดของทะเลทรายซาฮารา สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนประตูสู่โลกที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและประสบการณ์ที่ยากจะลืม

สัมผัสกับความงดงามของ Erg Chebbi

การเดินทางไปถึงเมอร์ซูก้านั้นเหมือนการก้าวเข้าสู่โลกที่ต่างออกไปจากสิ่งที่เคยพบเห็น เนินทราย Erg Chebbi ที่สูงตระหง่านสามารถเปลี่ยนสีได้ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่สีทองอร่ามในยามเช้าจนถึงสีส้มสดใสยามพระอาทิตย์ตก ด้วยความสูงที่บางจุดอาจสูงถึง 150 เมตร การได้เห็นทะเลทรายทอดยาวไปไกลสุดสายตาเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและทำให้คุณตระหนักถึงความเงียบสงบที่แท้จริง

การขี่อูฐ ประสบการณ์แบบโมรอคโคดั้งเดิม

สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดเมื่อมาเยือนเมอร์ซูก้าคือการได้ลอง ขี่อูฐ ไปตามเส้นทางในทะเลทราย อูฐเป็นสัตว์ที่มีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการเดินในทะเลทรายได้อย่างดีเยี่ยม การขี่อูฐไม่เพียงแต่เป็นการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่ยังเป็นการย้อนเวลากลับไปสู่ยุคที่ชนเผ่าโมรอคโคใช้ชีวิตในทะเลทรายอย่างแท้จริง ขณะที่คุณนั่งบนหลังอูฐ คุณจะได้สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวช้าๆ ที่โยกเยกเบาๆ และชมวิวเนินทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา

ค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทราย

หนึ่งในประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงเมอร์ซูก้าคือการได้ พักค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทราย หลังจากเดินทางไปกับอูฐในช่วงบ่าย เมื่อคุณมาถึงแคมป์ คุณจะได้พักผ่อนท่ามกลางเต็นท์สไตล์โมรอคโคที่ตกแต่งด้วยลวดลายท้องถิ่น รอบๆ แคมป์เต็มไปด้วยความสงบ ไม่มีแสงไฟจากเมืองใหญ่ ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

ในค่ำคืนที่แคมป์ คุณจะได้นั่งล้อมรอบกองไฟ ฟังเสียงดนตรีพื้นเมืองที่เล่นด้วยกลองและเครื่องดนตรีโมรอคโค พร้อมกับการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นที่อร่อย เช่น ทาจีน (Tagine) และ คูสคูส (Couscous) รสชาติเข้มข้นที่ปรุงด้วยเครื่องเทศท้องถิ่น ความอบอุ่นของกองไฟและดวงดาวที่ส่องแสงเหนือศีรษะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากภาพยนตร์

พระอาทิตย์ขึ้นในทะเลทราย ช่วงเวลาที่น่าจดจำ

อีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กันคือการ ชมพระอาทิตย์ขึ้น ในทะเลทรายซาฮารา การตื่นเช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นเหนือเนินทรายสีทองเป็นภาพที่งดงามและเงียบสงบ แสงแดดที่เริ่มแรกสาดส่องทำให้ทะเลทรายดูราวกับมีชีวิต การชมพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเนินทรายเป็นช่วงเวลาที่คุณจะได้รู้สึกถึงความสงบและความงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง

กิจกรรมกลางแจ้งในทะเลทราย

สำหรับคนที่รักการผจญภัย เมอร์ซูก้าไม่ได้มีแค่การขี่อูฐเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าตื่นเต้นอีกมากมาย เช่น การเล่นแซนด์บอร์ด (Sandboarding) ที่ให้คุณลื่นไหลลงมาจากเนินทรายขนาดใหญ่ หรือการนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ (4×4) เพื่อท่องเที่ยวในทะเลทราย ที่นี่คุณสามารถสัมผัสความตื่นเต้นและท้าทายกับธรรมชาติที่กว้างใหญ่ได้อย่างเต็มที่

ชุมชนโมรอคโค – การเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น

เมื่อมาเยือนเมอร์ซูก้า คุณยังมีโอกาสได้สัมผัสกับ วัฒนธรรมโมรอคโค ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของทะเลทราย ชาวโมรอคโคที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮารามีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง คุณอาจจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตและประเพณีของพวกเขา เช่น การทำอาหารแบบดั้งเดิม การทอพรม หรือการทำเครื่องประดับจากวัสดุธรรมชาติ

7.วาร์ซาเซต (Ouarzazate) ประตูสู่ทะเลทรายและเมืองแห่งภาพยนตร์

Ouarzazate

วาร์ซาเซต (Ouarzazate) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของโมรอคโค ซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์และความงดงามของทะเลทราย ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็น “ประตูสู่ทะเลทราย” เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางผจญภัยสู่ทะเลทรายซาฮาราอันกว้างใหญ่ นอกจากนี้ วาร์ซาเซตยังมีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะเมืองแห่งการถ่ายทำภาพยนตร์ เป็นที่ตั้งของ Atlas Studios สตูดิโอภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย

ประตูสู่ทะเลทราย จุดเริ่มต้นการผจญภัย

วาร์ซาเซตตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอตลาสและใกล้กับทะเลทรายซาฮารา ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสความงดงามของภูมิประเทศทะเลทราย ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทริปผจญภัยในทะเลทราย คุณสามารถขี่อูฐหรือใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ (4×4) เพื่อไปสำรวจเนินทรายกว้างใหญ่ หรือแม้กระทั่งเดินทางไปยัง หมู่บ้านโมรอคโค ที่อยู่รอบๆ เพื่อสัมผัสวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบชนเผ่าดั้งเดิม

การเดินทางผ่าน หุบเขาดาเดส (Dades Valley) และ หุบเขาทอดรา (Todra Gorge) ที่มีหน้าผาหินสูงและภูมิทัศน์ที่งดงามก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด นอกจากนี้ยังมี หมู่บ้านอิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou) หมู่บ้านโบราณที่สร้างจากดินเหนียวและหิน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก หมู่บ้านนี้เคยถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ดังอย่าง Gladiator และ Game of Thrones

เมืองแห่งการถ่ายทำภาพยนตร์

วาร์ซาเซตไม่ใช่แค่เมืองเล็กๆ กลางทะเลทรายเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์ระดับโลกว่าเป็น “ฮอลลีวูดแห่งโมรอคโค” เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของ Atlas Studios สตูดิโอภาพยนตร์กลางทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง The Mummy, Lawrence of Arabia, Gladiator และ Kingdom of Heaven ต่างก็ถ่ายทำที่นี่

การเดินทางไปเยี่ยมชมสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ในวาร์ซาเซตคือการได้สัมผัสเบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์ คุณจะได้เห็นฉากต่างๆ ที่ยังคงถูกเก็บไว้ เช่น พระราชวังโบราณ หมู่บ้านดินเหนียว และป้อมปราการยิ่งใหญ่ที่ใช้ในการถ่ายทำ คุณอาจรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในโลกภาพยนตร์ที่เคยเห็นในจอเงิน การได้เห็นฉากเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของการสร้างภาพยนตร์

หมู่บ้านอิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou) ฉากที่มีชีวิต

หมู่บ้านโบราณ อิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวาร์ซาเซต ถือเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดสำหรับผู้ที่หลงใหลในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นจากดินเหนียวและหิน เป็นตัวอย่างที่งดงามของสถาปัตยกรรมแบบเก่าแก่ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี การเดินสำรวจหมู่บ้านที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนี้ทำให้คุณได้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีต

อิตเบนฮัดดูยังเป็นที่ตั้งของฉากภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Gladiator และ Game of Thrones ฉากเมืองโบราณที่นี่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยเสน่ห์ คุณสามารถเดินขึ้นไปยังป้อมปราการบนเนินเขาและชมวิวของทะเลทรายและหุบเขาโดยรอบ ซึ่งเป็นภาพที่งดงามและสร้างความประทับใจอย่างไม่รู้ลืม

ประสบการณ์ที่น่าจดจำในวาร์ซาเซต

การมาเยือนวาร์ซาเซตไม่เพียงแต่ทำให้คุณได้สัมผัสความงดงามของทะเลทราย แต่ยังได้สัมผัสกับวัฒนธรรมโมรอคโคและวิถีชีวิตท้องถิ่น ที่นี่คุณสามารถเลือกพักใน ริยาด (Riad) บ้านพักสไตล์โมรอคโคที่มีความเป็นเอกลักษณ์ หรือเลือกค้างคืนในแคมป์กลางทะเลทรายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวสุกสกาว นอกจากนี้ คุณยังสามารถลองลิ้มรสอาหารท้องถิ่นอย่าง ทาจีน (Tagine) และ คูสคูส (Couscous) ที่มีรสชาติอร่อยและหอมกรุ่นจากเครื่องเทศท้องถิ่น

สำหรับคนที่รักการผจญภัย วาร์ซาเซตมีทุกอย่างที่ทำให้การเดินทางของคุณเต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่าผ่านเทือกเขาแอตลาส การนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านเนินทราย หรือการขี่อูฐในทะเลทรายซาฮารา ทุกกิจกรรมล้วนแต่น่าตื่นเต้นและสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม

8.อิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou) หมู่บ้านโบราณที่สร้างจากดินเหนียวและหิน ท่ามกลางภูมิประเทศที่งดงาม

Ait Benhaddou

ท่ามกลางภูมิประเทศอันงดงามของโมรอคโค หนึ่งในสถานที่ที่เหมือนหลุดออกมาจากหน้าประวัติศาสตร์ก็คือ อิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou) หมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาโอวาร์ซาเซต (Ouarzazate) หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นจากดินเหนียวและหิน เป็นตัวอย่างที่งดงามของสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของโมรอคโค ซึ่งยังคงได้รับการอนุรักษ์อย่างดีจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก

เดินย้อนเวลากลับไปในยุคโบราณ

เมื่อคุณก้าวเข้าสู่ อิตเบนฮัดดู คุณจะรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินทางย้อนกลับไปในยุคโบราณ ทุกตารางนิ้วของหมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมโบราณที่สร้างขึ้นจากดินเหนียว อาคารบ้านเรือนถูกเรียงรายเป็นชั้นๆ ไปตามเนินเขา และมีป้อมปราการสูงตระหง่านอยู่บนยอดหมู่บ้าน ภาพของหมู่บ้านที่ทาสีน้ำตาลแดงกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทำให้ที่นี่ดูมีมนต์ขลัง

ที่อิตเบนฮัดดู คุณจะได้เดินผ่านตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหิน สัมผัสกับกลิ่นอายของวิถีชีวิตในอดีต บ้านแต่ละหลังสร้างด้วยมือโดยใช้ดินเหนียวที่มีในท้องถิ่น เป็นวิธีการสร้างแบบโบราณที่ทนทานต่อสภาพอากาศร้อนและแห้งของทะเลทราย การเดินสำรวจหมู่บ้านนี้ทำให้คุณได้รู้สึกถึงความเรียบง่ายและความสง่างามของชีวิตในยุคโบราณ

ทิวทัศน์ที่งดงามและฉากภาพยนตร์

สิ่งที่ทำให้อิตเบนฮัดดูเป็นที่รู้จักทั่วโลกนอกเหนือจากความเก่าแก่ คือการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง หมู่บ้านแห่งนี้มีบรรยากาศที่เหมาะสมกับภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์และผจญภัย เช่น Gladiator, Lawrence of Arabia, และ Game of Thrones ฉากที่สวยงามของหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางภูมิประเทศทะเลทรายและภูเขาทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ถูกเลือกใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก

หากคุณเป็นคนรักภาพยนตร์ การเดินสำรวจหมู่บ้านนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นส่วนหนึ่งของฉากในภาพยนตร์เอง คุณสามารถปีนขึ้นไปยังป้อมปราการบนยอดเนินเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของหุบเขาและทะเลทรายที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา การได้เห็นวิวนี้ในชีวิตจริงเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งและทำให้คุณรู้สึกเหมือนหลุดออกมาจากโลกแห่งภาพยนตร์

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

นอกจากความงดงามที่เป็นที่รู้จักแล้ว อิตเบนฮัดดูยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หมู่บ้านนี้เคยเป็นจุดพักของคาราวานพ่อค้าที่เดินทางระหว่างทะเลทรายซาฮาราและเมืองมาร์ราเกช เส้นทางการค้าผ่านหมู่บ้านทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในยุคโบราณ ป้อมปราการที่เห็นในปัจจุบันเคยใช้เพื่อป้องกันหมู่บ้านจากผู้รุกราน และยังคงยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความอดทนของชาวโมรอคโค

เมื่อคุณได้เดินชมอิตเบนฮัดดู คุณจะได้เห็นชีวิตที่ยังคงดำเนินอยู่แม้เวลาจะผ่านไปนาน ชาวบ้านยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน บางคนยังคงทำงานหัตถกรรมหรือค้าขายสินค้าที่ทำจากมือ เช่น พรมทอมือ และเครื่องปั้นดินเผา นักท่องเที่ยวสามารถซื้อของที่ระลึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

การเดินทางมาเยือนอิตเบนฮัดดู

การเดินทางมายังอิตเบนฮัดดูนั้นเป็นการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองโอวาร์ซาเซต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ทะเลทรายซาฮารา นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางด้วยรถยนต์หรือทัวร์รถบัสที่มีให้บริการ การได้ขับรถผ่านหุบเขาและทะเลทรายที่ทอดยาวทำให้การเดินทางมายังอิตเบนฮัดดูเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าจดจำ

สัมผัสความเงียบสงบในธรรมชาติ

ถึงแม้ว่าอิตเบนฮัดดูจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม แต่ที่นี่กลับมีบรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นธรรมชาติ ความเงียบของทะเลทรายและเสียงลมที่พัดเบาๆ สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย การได้เดินเล่นในหมู่บ้านและชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามทำให้คุณรู้สึกเชื่อมต่อกับธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง

9.เมคเนส (Meknes) เมืองมรดกโลกที่มีประตูเมือง Bab Mansour อันยิ่งใหญ่และพระราชวังเก่า

Meknes

เมื่อพูดถึงเมือง เมคเนส (Meknes) ในโมรอคโค หลายคนอาจยังไม่รู้จักเท่าเมืองใหญ่อย่างมาร์ราเกชหรือเฟส แต่ถ้าคุณได้มาเยือน เมคเนสจะทำให้คุณต้องหลงใหลในความงดงามและความเป็นเมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ เมืองนี้เป็นหนึ่งใน สี่เมืองจักรวรรดิ ของโมรอคโคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่ประตูเมืองที่ยิ่งใหญ่ Bab Mansour ไปจนถึงพระราชวังเก่าที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวในอดีต

Bab Mansour ประตูเมืองที่ยิ่งใหญ่และงดงาม

การเริ่มต้นการสำรวจเมคเนสไม่อาจสมบูรณ์ได้หากไม่ได้มาเห็น Bab Mansour ประตูเมืองที่ถือว่าเป็นหนึ่งในประตูที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในโมรอคโค Bab Mansour ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ในยุคของสุลต่านมูเลย์ อิสมาอิล (Moulay Ismail) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ทรงพลังและมีความสามารถในการสร้างเมือง เมคเนสถือเป็นเมืองที่พระองค์โปรดปรานที่สุด

ประตู Bab Mansour เป็นที่โดดเด่นด้วยการตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีสันสดใส ลวดลายศิลปะอิสลามที่วิจิตรบรรจง และงานแกะสลักหินอ่อนที่ละเอียดอ่อน บานประตูไม้ขนาดใหญ่ที่สูงและกว้างขวางทำให้ประตูนี้ดูสง่างามและทรงพลัง เมื่อคุณยืนอยู่หน้าประตูนี้ คุณจะรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และเกียรติยศของยุคสมัยโบราณที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์

พระราชวังมูเลย์ อิสมาอิล ความหรูหราของราชสำนัก

เมื่อคุณก้าวผ่าน Bab Mansour เข้าสู่เขตเมืองเก่า คุณจะได้พบกับ พระราชวังมูเลย์ อิสมาอิล (Moulay Ismail Palace) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโมรอคโค พระราชวังนี้เป็นที่พักของสุลต่านมูเลย์ อิสมาอิล ผู้สร้างเมืองเมคเนสให้เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและการปกครอง พระราชวังนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมโมรอคโคที่มีความหรูหราและประณีต โดดเด่นด้วยกำแพงที่สูงและมีความแข็งแรง

แม้ปัจจุบันพระราชวังส่วนใหญ่จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังคงความงดงามที่สามารถสัมผัสได้ คุณจะเห็นลานกว้างใหญ่ที่เคยใช้เป็นพื้นที่สำหรับทหารและม้าของสุลต่าน รวมถึงสวนที่ถูกออกแบบอย่างสวยงาม แม้ว่าส่วนหนึ่งของพระราชวังจะถูกปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าชม แต่ส่วนที่เปิดให้เข้าชมก็ยังสามารถถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ของอดีตได้อย่างดี

จตุรัส El Hedim หัวใจของเมืองเก่า

เมื่อคุณสำรวจประตู Bab Mansour และพระราชวังมูเลย์ อิสมาอิลเสร็จแล้ว อย่าลืมแวะไปที่ จตุรัส El Hedim ซึ่งเป็นจตุรัสกลางเมืองที่เป็นเสมือนหัวใจของเมืองเก่า เมคเนส ที่นี่คุณจะได้พบกับบรรยากาศที่คึกคักเต็มไปด้วยชีวิต มีร้านค้าและตลาดที่ขายสินค้าพื้นเมือง เช่น ผ้าพันคอ พรมทอมือ และเครื่องปั้นดินเผา จตุรัสนี้มีความคล้ายคลึงกับจตุรัส Jemaa el-Fnaa ในมาร์ราเกช แต่เงียบสงบและผ่อนคลายมากกว่า คุณสามารถนั่งจิบชามินต์ในคาเฟ่ท้องถิ่นพลางชมวิถีชีวิตของชาวเมือง

วิหารสุสานมูเลย์ อิสมาอิล ความเคารพที่ยิ่งใหญ่

อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดคือ วิหารสุสานมูเลย์ อิสมาอิล (Moulay Ismail Mausoleum) สุสานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่พักผ่อนชั่วนิรันดร์ของสุลต่านมูเลย์ อิสมาอิล การออกแบบและตกแต่งภายในสุสานเป็นศิลปะที่งดงามและละเอียดลออ มีการใช้กระเบื้องโมเสกที่สวยงามและลวดลายแกะสลักที่ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวโมรอคโคให้ความเคารพอย่างสูง

วิหารสุสานมูเลย์ อิสมาอิลเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้ และคุณจะรู้สึกถึงความสงบและความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นี้ที่ยังคงสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้สร้างเมือง

เมคเนส เมืองที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน

นอกจากสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว เมคเนสยังเป็นเมืองที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบันได้อย่างลงตัว ที่นี่คุณจะได้พบกับความเงียบสงบของเมืองเก่าและความคึกคักของชีวิตในปัจจุบัน เมืองนี้ยังคงอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้อย่างดี พร้อมกับมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านการค้าขายและการท่องเที่ยว

10.แอสซาวีรา (Essaouira) เมืองท่าริมทะเลที่มีความเป็นเอกลักษณ์ สงบสุข และมีชายหาดที่สวยงาม

Essaouira

แอสซาวีรา (Essaouira) เมืองท่าริมทะเลที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล แห่งนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันตกของประเทศโมรอคโค หากคุณกำลังมองหาสถานที่ที่รวมความสงบสุขและมนต์เสน่ห์ของทะเลไว้ด้วยกัน แอสซาวีราคือจุดหมายที่สมบูรณ์แบบ!

เมืองนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน โครงสร้างเมืองแบบเก่าและกำแพงเมืองสีขาวที่ล้อมรอบถนนแคบ ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนคุณได้ก้าวเข้าสู่อีกยุคหนึ่ง ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเรียบง่าย แอสซาวีรามีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนเมืองท่าอื่น ๆ ในโมรอคโค มันเคยเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญในอดีต และยังคงความมีเสน่ห์ของวัฒนธรรมแบบพื้นเมืองและอิทธิพลยุโรปที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

สิ่งที่ทำให้แอสซาวีรายิ่งโดดเด่นคือชายหาดที่ทอดยาวสวยงาม ทะเลที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศสบาย ๆ แต่ยังเป็นสวรรค์ของนักเล่นวินด์เซิร์ฟและคิตเซิร์ฟด้วยลมที่แรงและสม่ำเสมอ แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบนั่งริมทะเลเพลิดเพลินกับเสียงคลื่นและลมทะเลอันเย็นสบาย แอสซาวีราก็มีทุกอย่างที่คุณต้องการ

นอกจากชายหาดและบรรยากาศทะเลแล้ว แอสซาวีรายังมีตลาดสดหรือ “ซูค” ที่เต็มไปด้วยของฝากและสินค้าแฮนด์เมดให้เลือกช้อป ตั้งแต่พรมทอมือ เครื่องปั้นดินเผา ไปจนถึงเครื่องเทศหอมกรุ่น และแน่นอน ถ้าคุณเป็นคนที่หลงใหลในอาหารทะเล การได้ลองอาหารทะเลสดใหม่จากท่าเรือเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด

ที่สำคัญ แอสซาวีรายังมีมรดกทางดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ คือ “ดนตรีคเนาวา” (Gnawa Music) ดนตรีพื้นเมืองที่มีจังหวะและเสียงเพลงที่ทรงพลัง ลึกซึ้ง และเป็นการผสมผสานระหว่างดนตรีอาหรับและแอฟริกัน ทำให้คุณรู้สึกเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การเดินเที่ยวในเมืองเก่า (Medina) ของแอสซาวีราเปรียบเสมือนการเดินผ่านหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินไปตามถนนหินที่ปูเรียบเรียงอย่างพิถีพิถัน มีโอกาสแวะชมป้อมปราการเก่าและหอคอยที่ตั้งอยู่ริมทะเล ที่นี่เคยเป็นจุดเฝ้าระวังจากการรุกรานทางทะเลในอดีต และในวันนี้กลายเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัย นักประวัติศาสตร์ที่ต้องการค้นพบร่องรอยอารยธรรม หรือนักเดินทางที่แค่ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบ แอสซาวีราจะทำให้คุณหลงรักโดยไม่รู้ตัวได้อย่างแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้อง : ราชอาณาจักรโมรอคโค (Morocco) ทวีปตะวันออกกลาง บนดินแดนแอฟริกา

สนใจเลือกเที่ยวโมรอคโคไปกับ GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยว

ทัวร์โมรอคโค

 

ช่องทางติดต่อได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 -17.00 น.

Line: @GoTogetherTravel

โทร: 02-214-6088 , 081-405-9726