หากท่านกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่งดงามราวภาพวาด ประเทศจอร์เจีย (Georgia) อาจเป็นคำตอบให้ท่านได้ ประเทศจอร์เจียตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของทวีปเอเชียและยุโรป จึงเป็นดินแดนที่สะท้อนมนต์เสน่ห์ของทั้งสองโลกไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก วิหารโบราณกลางภูเขา ไปจนถึงวัฒนธรรมการทำไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ลองเปิดใจให้จอร์เจีย แล้วคุณอาจจะ “ตกหลุมรักดินแดนแห่งมรดกโลก” แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
1. จอร์เจียอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงน่าไป
ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่โดดเด่น
ประเทศจอร์เจีย (Georgia) ตั้งอยู่สุดทางตะวันตกของทวีปเอเชีย ด้วยความที่ประเทศนี้อยู่แทบจะสุดขอบของทวีปเอเชียและอยู่ใกล้กับทวีปยุโรป ประเทศนี้จึงมีการผสมผสานวัฒนธรรมของสองทวีปไว้รวมกันได้อย่างลงตัว และได้รับการขนานนามว่า “ประเทศสองทวีป” ที่นี่นับว่าเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์จากมรดกและอารยธรรมมากมายที่หลงเหลือมาตั้งแต่ในยุค
มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและมีภาษาเป็นของตัวเอง
ประเทศจอร์เจีย (Georgia) มีชื่อทางการว่า สาธารณะรัฐจอร์เจีย ประเทศนี้นับว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 2500 ปีมาแล้ว ในอดีตประเทศจอร์เจียเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ได้มีการแยกตัวออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1991 ซึ่งประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ ภาษาของประเทศจอร์เจีย ขึ้นชื่อว่าเป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยในปัจจุบันภาษาหลักที่คนจอร์เจียใช้สื่อสารก็ยังเป็นภาษาจอร์เจีย และอีกภาษาหนึ่งที่ใช้ก็คือภาษารัสเซียนั่นเอง นอกจากนี้แล้วสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศจอร์เจียก็ยังมีสวยงามทางสถาปัตยกรรม ที่คล้ายคลึงกับทางโซนยุโรปอีกด้วย
2. มรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติประเทศจอร์เจียที่น่าสนใจ
ประเทศจอร์เจียไม่ได้โดดเด่นแค่ตำแหน่งที่ตั้งและประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นประเทศที่รวมสถานที่สำคัญระดับโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกโลก” จากยูเนสโกถึง 4 แห่ง ทั้งในแง่ของวัฒนธรรมและธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงเรื่องราวอันลึกซึ้งของอารยธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้จอร์เจียเป็นประเทศที่ไม่ควรมองข้ามในแผนการเดินทางของใครหลายคน
โบราณสถานแห่งมสเคทา (Monuments of Mtskheta)
ในอดีตเคยเป็นนครหลวงแห่งแรกของประเทศจอร์เจีย เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยมีหลักฐานว่ามีผู้อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นเมืองแรกที่นับถือศาสนาคริสต์ในปี ค.ศ. 334 ปัจจุบัน มสเคทายังคงเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรออร์โธดอกซ์แห่งจอร์เจีย และเป็นที่ตั้งของอารามจวารี (Jvari Monastery) และมหาวิหารสเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) ซึ่งเป็นสองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่ถูกรวมอยู่ในบัญชีมรดกโลกของยูเนสโกในปี ค.ศ. 1994
วัดเกลาติ (Gelati Monastery)
สวาเนทีตอนบน (Upper Svaneti)
เป็นพื้นที่ภูเขาที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ด้วยความโดดเดี่ยวทางธรรมชาติ มีหมู่บ้านยุคกลางและบ้านหอคอยกว่า 200 หลัง ซึ่งใช้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและป้อมปราการ สะท้อนถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมและการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในปัจจุบัน บ้านหอคอยเหล่านี้มีโครงสร้างเฉพาะตัวและยังคงรักษาไว้ซึ่งศิลปะ จิตรกรรมฝาผนัง และวัฒนธรรมของชาวสวานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันสวาเนทีตอนบนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี ค.ศ. 1996
ป่าฝนและพื้นที่ชุ่มน้ำโกลคิส (Colchic Rainforests and Wetlands)
ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของทะเลดำในจอร์เจีย เป็นระบบนิเวศโบราณที่รอดพ้นจากยุคน้ำแข็ง มีป่าดิบชื้นใบกว้าง หนองบึง และพื้นที่ชุ่มน้ำที่หลากหลาย เป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีพันธุ์พืชประมาณ 1,100 ชนิด และสัตว์มีกระดูกสันหลังเกือบ 500 ชนิด รวมถึงสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ปลาสเตอร์เจียนโคลชิก และเป็นจุดแวะพักสำคัญของนกอพยพใกล้สูญพันธุ์จากทั่วโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกตามเกณฑ์ด้านระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในปี ค.ศ. 2021
3. ประเทศแห่งไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
เนื่องจากประเทศจอร์เจียเป็นประเทศที่โดดเด่นในการทำเกษตรกรรม มีการปลูกผลไม้ เช่น ลูกพีช แอปเปิ้ล และองุ่น เพราะที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของการผลิตไวน์มากๆ เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานการใช้พื้นที่ทำโรงงานผลิตไวน์ตั้งแต่ 6000 ปีก่อนคริสตศักราช ทำให้ประเทศจอร์เจียเป็นหนึ่งในชาติที่ผลิตไวน์เก่าแก่ที่สุดในยุโรป จนได้ชื่อว่าเป็น “The birthplace of wine” หากว่าจะหาของฝากที่นี่ ก็แนะนำว่าต้องเป็นไวน์แน่นอน
สถานที่ที่นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความเป็นชาวจอร์เจียที่ดีที่สุดก็คือ Mother of a Georgian รูปปั้นถูกสร้างขึ้นบนยอดเขา Sololaki ในปี ค.ศ. 1958 สร้างโดยประติมากรชาวจอร์เจียผู้โด่งดัง Elguja Amashukeli โดยสิ่งก่อสร้างนี้จะเป็นรูปปั้นหญิงสาวที่มือข้างหนึ่งของเธอจะถือดาบ ส่วนมืออีกข้างนึงของจะถือแก้วไวน์ มีความหมายว่าหากใครที่มาเยือนจอร์เจียแบบศัตรูเธอจะใช้ดาบในมือขวาต่อสู้ แต่หากใครที่มาเยือนอย่างมิตรเธอจะต้อนรับด้วยไวน์ในมือซ้าย
4. การเดินทางจากไทยไปจอร์เจีย
การเดินทางเข้าสู่ประเทศจอร์เจียนั้นไม่ยากเลย หากเดินทางจากประเทศไทย ปัจจุบันยังไม่มีสายการบินใดที่บินตรงไปที่ประเทศจอร์เจีย จะต้องมีการเปลี่ยนเครื่องอย่างน้อย 1 ครั้ง ระยะเวลาการเดินทางจะอยู่ที่ประมาณ 10- 11 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเดินทางโดยสายการบินอะไรและเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ที่เมืองไหน (เวลาบินไม่รวมระยะเวลาพักเปลี่ยนเครื่อง) จุดหมายปลายทางจะอยู่ที่ท่าอากาศยานทบิลิซี (Tbilisi International Airport) ในเมืองหลวงทบิลิซีเมืองหลวงที่ใหญที่สุดในประเทศจอร์เจีย แถมประเทศจอร์เจียยังใจดี ฟรีวีซ่าอีกด้วย คนไทยสามารถเข้าประเทศจอร์เจียและท่องเที่ยวที่นี่ได้ถึง 90 วันเลยทีเดียว
สนใจเลือกเที่ยวประเทศจอร์เจียไปกับ GoTogetherTravel ผู้นำด้านการท่องเที่ยว
Line: @GoTogetherTravel โทร: 02-214-6088 , 081-405-9726